รีวิว Vivo Nex 3 เรือธง แรงจัด ครบสุด จบจริง ในงบประมาณที่เข้าถึงได้ง่าย !!!

โดย J.wasan
0 ความเห็น 2.3K views

สิ้นสุดการรอคอยของแฟน ๆ ที่อยากสัมผัสกับสมาร์ตโฟนเรือธงของค่ายวีโว่กันเสียที หลังจากเปิดตัว Vivo Nex 3 อย่างเป็นทางการในไทย ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกสำหรับซีรีส์นี้ และไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะ Nex 3 ไม่ได้มีดีแค่สเปคจัดเต็มเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาพร้อมฟีเจอร์และนวัตกรรมที่โดดเด่นหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ Waterfall FullView™ Display ใหญ่เต็มตา ไร้รอยบาก รวมถึงการดีไซน์ตัวเครื่องแบบไร้ปุ่มกด, ระบบระบายความร้อน Vapor Chamber, ระบบเสียง Hi-Fi พร้อมชิปเสียง AK4377A audio DAC และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมราคาเปิดตัวของ Vivo Nex 3 ยังเข้าถึงได้ง่ายกว่าสมาร์ตโฟนเรือธงหลากหลายรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ ณ ขณะนี้อีกด้วย สำหรับในภาพรวมจะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง มาติดตามรับชมไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ

สเปคเบื้องต้น  Vivo Nex 3

ขนาด 167.44 × 76.14 × 9.4 มม.
น้ำหนัก  217.3 กรัม
หน้าจอ Waterfall FullView™ Display แบบ POLED (E3 Super AMOLED) ความละเอียด 2256 × 1080 (FHD+) พิกเซล ขนาด 6.89 นิ้ว ในอัตราส่วน 20:9 มีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องที่ 99.6% กระจกโค้ง 90 องศา รองรับมาตรฐาน sRGB 100%, DCI-P3 100%, HDR 10
หน่วยประมวลผล ชิปเซ็ท Qualcomm SDM855 Snapdragon 855+ (7 nm) หน่วยประมวลผล Octa-core (1×2.96 GHz Kryo 485 & 3×2.42 GHz Kryo 485 & 4×1.8 GHz Kryo 485)

หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 640 (700 MHz)

RAM 8GB
หน่วยความจำภายในเครื่อง 128GB
microSD Card
กล้องถ่ายภาพ กล้องดิจิทัลด้านหลัง 3 เลนส์ AI Quad Camera ประกอบด้วย

กล้องตัวที่หนึ่ง Main Camera ความละเอียด 64  ล้านพิกเซล  รูรับแสง f/1.8
—————————————————————————————————กล้องตัวที่สอง Super Wide-Angle Camera เลนส์มุมกว้างพิเศษ 120 องศา ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.2 รองรับการถ่าย Super Macro 2.5CM
—————————————————————————————————กล้องตัวสาม เลนส์ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.48
—————————————————————————————————กล้องหน้า Elevating Front Camera ป๊อปอัพสไลด์อัตโนมัติ ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้าง f/2.09
ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1
เชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, WiFi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, A2DP, LE, A-GPS, GLONASS, GALILEO, BDS, USB Type-C, USB On-The-Go
รองรับระบบ รูปแบบซิม 2 (Nano SIM)
Dual SIM and Dual Standby2G GSM: GSM850/GSM900/DCS1800/PCS1900
3G WCDMA: B1/B2/B4/B5/B8
4G FDD-LTE: B1/B2/B3/B4/B5/B7/B8/B12/B17/B18/B19/B20/B26/B28A&B
4G TDD-LTE: B34/B38/B39/B40/B41(รองรับ 4G และ 3G ทุกเครือข่ายในไทย)
แบตเตอรี่

4500mAh รองรับชาร์จไว Vivo FlashCharge (22.5W)

สี/ ราคา Glowing Night (ดำ) ราคา 24,999 บาท

 

บรรจุภัณฑ์ / อุปกรณ์ภายในกล่อง

ด้วยความเป็นเรือธงแน่นอนว่าตัวแพ็กเกจจิ้งย่อมมีความพิเศษเพื่อขับเน้นความหรูหราพรีเมี่ยมตั้งแต่แรกสัมผัส โดยตัวกล่องมาในทรงสีเหลี่ยมจตุรัส พร้อมตัดด้วยโทนสีดำเรียบขรึม ด้านหน้ากล่องโชว์ชื่อรุ่นพร้อมเอกลักษณ์ของดีไซน์กล้องหลังที่เรียกว่า Lunar Ring Camera System ซึ่งโดดเด่นเป็นสง่าทั้งด้านบนและด้านในของตัวกล่อง

อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย

1. คู่มือการใช้งานฉบับย่อ + ใบรับประกันสินค้า

2. อุปกรณ์เปิดถาดซิมการ์ด

3. เคส (ซิลิโคนเคสแบบพิเศษ)

4. สาย USB Type C + อแดปเตอร์ชารจ์ Output 5V-2A / 9V-2A / 10V-2.5A

5. หูฟังสมอลทอร์ค

 

ตัวเคสออกแบบได้พรีเมี่ยมมาก ๆ  โดยด้านหลังจะใช้เท็กเจอร์ในแบบหนังแท้ เวลาที่เราสัมผัสแล้วจะให้ความรู้สึกที่สากเล็กน้อย ซึ่งตรงนี้จะช่วยให้การจับถือมีความกระชับไม่ลื่นหลุดมือได้โดยง่ายนั่นเอง

Vivo Nex 3 รองรับชาร์จไว Vivo FlashCharge (22.5W) ตัวอแดปเตอร์ชารจ์จึงจัดเต็มกว่าพี่น้องภายในค่าย โดยให้ Output มาถึง 3 ระดับเลยทีเดียว

 

รูปลักษณ์ดีไซน์ / การออกแบบ

Vivo Nex 3 ถูกรังสรรค์ดีไซน์ภายใต้แนวคิด Future Beyond Edges ที่มาพร้อมความเรียบหรู แต่แฝงไว้ด้วยความคลาสิค ซึ่งดีไซน์ในภาพรวมของ Nex 3 รูปทรงตัวเครื่องจะดูเพรียวยาวเล็กน้อย ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ 6.89 นิ้ว ในอัตราส่วนการแสดงผล 20:9 แต่ก็ไม่ได้ดูใหญ่เทอะทะ เรียกว่ายังจับถือพกพาได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด

สำหรับตัววัสดุมีความพรีเมี่ยมด้วยกระจก 3D Glass แบบโค้งจรดขอบ 90 องศา ซึ่งไร้รอยต่อ ไร้รอยบาก ด้วยการซ่อนกล้องหน้าไว้ภายในตัวเครื่อง จึงให้การแสดงผลที่เต็มตาอย่างแท้จริง โดยมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องสูงถึง 99.6% เลยทีเดียว แถมยังโดดเด่นด้วยการออกแบบกล้องหลังที่มีความโมเดิร์นในแบบ Lunar Ring Camera System ที่มาพร้อมโมดูลทรงกลมและเท็กเจอร์ภายในที่ช่วยขับเน้นให้เกิดความสมดุล ร่วมกับตัวฝาหลังที่มีการเล่นระดับสีในชั้นเลเยอร์ได้อย่างสมบูรณ์ลงตัว

 

กล้องหลัง 3 เลนส์ AI Triple Camera ในดีไซน์ใหม่ “Lunar Ring Camera System” ที่เรียบหรู ทรงพลัง โดยกล้อง 3 เลนส์บน Vivo Nex 3 มีรายละเอียดดังนี้

1. กล้องตัวที่หนึ่ง Super HD (Main Camera) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล  รูรับแสง f/1.8

2. กล้องตัวที่สอง Super Wide-Angle Camera เลนส์มุมกว้างพิเศษ 120 องศา ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.2 รองรับการถ่าย

3. กล้องตัวสาม เลนส์ Telephoto ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.48

นอกจากจะมาพร้อม Hardware ชั้นเยี่ยมแล้ว ยังจัดเต็มด้วยฟังก์ชั่นการถ่ายภาพที่อัดแน่นจัดเต็มตามสไตล์ของค่าย Vivo ไม่ว่าจะเป็น Portrait Lighting Effect, AI Face Beauty และ AI Scene Recognition รองรับการซุมแบบดิจิตอลได้ถึง 20x (20x Digital Zoom) ถ่ายภาพระยะใกล้ Super Macro 2.5CM ถ่ายภาพมุมกว้างแบบ Ultra-Wide ที่ 120 องศาเป็นต้น

กล้องหน้า Elevating Front Camera แบบ Pop-up เลื่อนขึ้น/ลงอัตโนมัติ ทำงานได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 0.65 วินาทีเท่านั้น

ตัวกล้องหน้าให้ความละเอียดมาที่ 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED 1 ดวง โดยกล้องหน้ายังคงโดดเด่นด้วยเทคโนโลยี AI Face Beauty ซึ่งเป็นจุดขายมาอย่างยาวนานของค่าย Vivo  ในด้านความปลอดภัย Vivo Nex 3 มาพร้อมฟังก์ชั่นป้องกันการตกกระแทก ทนต่อแรงกด ที่ได้รับการทดสอบบนมาตรฐานอันเข้มงวด ซึ่งช่วยปกป้องและสร้างความอุ่นใจในการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมในทุกสถานการณ์

สำหรับลำโพงสนทนาที่อยู่ด้านบนจะทำหน้าที่เป็นลำโพงสเตอริโอของตัวเครื่องอีกด้วย

หน้าจอแสดงผลถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เด่นบน Vivo Nex 3 เพราะนอกจากจะมาพร้อมจอโค้งแบบ 90 องศาแล้ว ด้าน Hardware ยังเลือกใช้พาเนลรุ่นใหม่ E3 Super AMOLED ที่รองรับ HDR 10 และการแสดงสีสันตามมาตรฐาน DCI-P3 และ sRGB ได้สูงถึง100% จึงให้สีสันที่สวยงามสมจริง พร้อมตอบทุกโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิง นอกจากนี้ Vivo Nex 3 ยังเป็นสมาร์ตโฟนที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน TÜV ในด้านความปลอดภัยจากจากแสงสีฟ้า ซึ่งเมื่อเทียบกับจอ E2 ทั่วไปสามารถกรองแสงสีฟ้าได้ถึง 42% และในโหมดถนอมสายตายังช่วยปกป้องดวงตาของผู้ใช้งานได้ถึง 33% อีกด้วย

สำหรับลำโพงสนทนาจริง ๆ แล้วจะอยู่ร่วมกับกล้องหน้า ที่เราเห็นด้านหน้าของตัวขอบจอคือการเจาะรูเพื่อให้เสียงลอดผ่านเท่านั้น

ด้านล่างของตัวเครื่องตัดด้วยเส้นเสาอากาศคู่ซ้าย/ขวา สำหรับฝั่งซ้ายจะเป็นที่อยู่ของช่องถาดซิมการ์ด, ไมค์สนทนา, พอร์ต Type-C ,ลำโพงหลัก (สเตอริโอ) ที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีมีมิติ และมีกำลังขับที่ตอบโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิงได้อย่างดีเยี่ยม

ด้านบนตัดด้วยเส้นเสาอากาศคู่ซ้าย/ขวาเหมือนด้านล่าง เมื่อไล่จากซ้ายไปขวา เริ่มจากไมค์ตัดเสียงรบกวน ส่วนปุ่มเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้าง คือปุ่มพาวเวอร์แบบกด ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานร่วมกับปุ่ม Touch Sense ที่อยู่ด้านข้าง ส่วนตรงกลางจะเป็นที่อยู่ของกล้องหน้าแบบ Pop-up สไลด์ สุดท้ายวีโว่ยังคงเอาใจแฟน ๆ ที่รักเสียงเพลงด้วยการไม่ตัดช่องเสียบหูฟัง 3.5มม. ออกไป ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้หูฟังทั้งแบบ Type-C และ 3.5 มม. ร่วมกันได้โดยไม่มีปัญหา

ฝั่งซ้ายเรียบ ๆ ไม่มีปุ่มหรือพอร์ตใด ๆ

ฝั่งขวาจะเป็นปุ่มพาวเวอร์และปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียงแบบใหม่ที่เรียกว่า Touch Sense ซึ่งจะไม่ใช่ปุ่มกดแบบ “กดแล้วจม” ที่เราคุ้นเคยกันมายาวนาน โดยปุ่ม Touch Sense จะมีหลักการทำงานในรูปแบบสัมผัส Haptic ที่รองรับแรงกดหลายระดับ ซึ่งตัวปุ่มพาวเวอร์มีการทำเท็กเจอร์ไว้ เพื่อให้ผู้ใช้งานสัมผัสถึงตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ โดยช่วงแรกอาจต้องปรับตัวเล็กน้อย แต่เมื่อใช้ไปสักพักก็จะคุ้นชิน และจะรู้สึกล้ำไปกับปุ่มกดในรูปแบบใหม่

Vivo Nex 3 รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด แบบ 2 Nano SIM (Dual SIM and Dual Standby) รองรับ 4G และ 3G ทุกเครือข่ายในไทย

 

ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่นบน Vivo Nex 3

ปุ่มสัมผัส Touch Sense นอกจากจะให้ฟิลลิ่งที่เหมือนปุ่มกดจริงแล้ว ยังทำงานร่วมกับมอเตอร์สั่นสะเทือน X-Axis Haptic โดยเมื่อเราปลดล็อก, พิมพ์ตัวอักษร, รับการแจ้งเตือน หรืออื่น ๆ ซึ่งจะให้การสั่นสะเทือนที่เป็นธรรมชาติ พร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นใหม่ 4D Vibration ระบบการสั่นแบบตอบสนอง ที่สามารถใช้งานร่วมกับบางเกมได้ จึงช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่มได้สมจริงมากยิ่งขึ้น

“ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนาน ไม่กลัวความร้อน” เพราะ Vivo Nex 3 มาพร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber Cooling System ซึ่งมีพื้นที่กระจายความร้อนขนาดใหญ่และมีประสิทธิภาพในการถ่ายเทความร้อนได้อย่างยอดเยี่ยม จึงช่วยระบายความร้อนของอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น CPU หรือแบตเตอรี่ ส่งผลให้การใช้งานมีความลื่นไหล สามารถใช้งานต่อเนื่องวยาวนานโดยเครื่องไม่ร้อนอีกด้วย

 

Vivo เป็นค่ายแรกที่นำเสนอนวัตกรรม In-Display Fingerprint Scanning หรือการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายในจอแสดงผล โดยที่ผ่านมาได้มีการอัพเกรดและพัฒนาตัวเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ส่งผลให้การทำงานมีความรวดเร็วแม่นยำ เมื่อเทียบกับค่ายอื่น ๆ ต้องบอกว่าการปลดล็อคนั้นมีความเร็วที่เหนือกว่าแบบสัมผัสได้จริง ส่วนระบบ Face unlock บน Vivo Nex 3 มีความรวดเร็วแม่นยำ ไม่แพ้ระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ โดยใช้เวลาไม่ถึง 0.60 วินาที และยังทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยโดยไม่มีปัญหา อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการปลดล็อกที่ผสานทั้ง 2 ระบบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว

หน้าจอ Waterfall FullView™ Display ใหญ่เต็มตาในขนาด 6.89 นิ้ว ไร้รอยบาก มาพร้อมอัตราส่วน 20:9 มีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องสูงถึง 99.6% โดดเด่นด้วยพาเนล E3 Super AMOLED ซึ่งลดการใช้พลังงานลง 7% เมื่อเทียบกับจอ E2 AMOLED และยังรองรับ HDR 10 รวมถึงการแสดงสีสันตามมาตรฐาน sRGB 100%, DCI-P3 100% พร้อมตอบโจทย์ด้านความบันเทิงได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการรับชมคอนเทนต์อย่าง YouTube, Netflix รวมไปถึงการเล่นเกมได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น

ส่วนในด้านความปลอดภัย Vivo Nex 3 ในโหมด blue cut light สามารถกรองแสงสีฟ้าได้ถึง 42% และในโหมดถนอมสายตายังช่วยปกป้องดวงตาของผู้ใช้งานได้ถึง 33% อีกด้วย นอกจากนี้ยังมาพร้อม Software ที่สามารถปรับตั้งค่าการแสดงผลได้อย่างยืดหยุ่นและตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว

 

Let the Show Start  เอฟเฟกต์แสงโดยรอบบนหน้าจอโค้ง รองรับการทำงานร่วมกับการแจ้งเตือน ทั้งสายโทรเข้า, ข้อความ, โดยหากมีสายเรียกเข้า ขอบด้านข้างของตัวเครื่องจะมีแสงไฟปรากฏขึ้น หรือขณะเปิดเพลง เอฟเฟกต์แสงก็จะกะพริบไปตามเสียงเพลงเหมือนการเต้นระบำ ช่วยเพิ่มความสวยงาม และลูกเล่นอันน่าตื่นตาตื่นใจให้กับสมาร์ตโฟนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถปรับรูปแบบเอฟเฟกต์ได้ถึง 4 รูปแบบ

 

Ultra-Game Mode

โหมด “Ultra-Game Mode” บน Vivo Nex 3 มาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ Multi-Turbo Center Turbo การเพิ่มความเร็วให้กับระบบ ลดความล่าช้าของหน่วยความจำ และป้องกันปัญหาเฟรมเรตตกได้ถึง 78% นอกจากนี้ยังมี AI Turbo ที่มีความฉลาดในการสั่งงาน ซึ่งช่วยให้สามารถเรียกใช้งานแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยให้เร็วยิ่งขึ้นถึง 20% และยังโดดเด่นด้วยฟังก์ชัน Cooling Turbo ที่ออกแบบโครงสร้าง และระบบจัดการความร้อนให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอีกหนึ่งฟังก์ชัน Game Turbo มีระบบการเข้าถึง และการเพิ่มประสิทธิภาพขั้นสูงสำหรับการเล่นเกม (PUBG Mobile และ Mobile Legend) นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่อำนวยความสะดวกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น ประกอบด้วย

Voice Changer ฟังก์ชันเปลี่ยนเสียงในเกม ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเอฟเฟกต์เสียงตัวละครที่หลากหลายระหว่างเล่นเกมกับเพื่อนร่วมทีม โดยเปลี่ยนเป็นเสียงย่านต่ำ หรือเสียงที่ให้ความตลกขบขัน ทำให้การสนทนาระหว่างการเล่นเกมนั้นสนุกสนาน และมีสีสันมากยิ่งขึ้น และโหมดล่าสุด 4D Vibration ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์สั่นสะเทือน X-Axis Haptic ส่งผลให้การเล่นเกมต่อสู้ได้ดุเดือด มีความสมจริง เช่นการสั่นตอบสนองในเวลาที่ยิงปืน หรือการชน การกระแทกเป็นต้น

 

Game Center เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ใน Vivo Nex 3 ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระหว่างการเล่นเกม เช่น ดูข้อมูล CPU อุณหภูมิ และปริมาณข้อมูลการใช้งาน โดยทำงานร่วมกับ Ultra Game Mode ที่สามารถปิดข้อความ และการแจ้งเตือนต่างๆ ในขณะเล่นเกม ให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปกับการเล่นเกมได้อย่างเต็มที่

 

ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์

Vivo Nex 3 รันบนระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ที่ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1 ซึ่งในเวอร์ชั่นล่าสุดมีการปรับแต่ง UI ให้ดูโมเดิร์นขึ้น และเน้นประสบการณ์ใช้งานที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสะดวกคล่องตัว โดยผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนธีม หรือภาพพื้นหลังรวมถึงรูปแบบตัวอักษรได้ตามใจชอบ รวมทั้งสามารถเข้าถึงทางลัดการใช้งานด่วนผ่านทาง Jovi AI Engine ผู้ช่วยอันชาญฉลาด  พร้อมทั้งตั้งค่ารูปแบบ Home Screen ได้อย่างยืดหยุ่น

Dark Mode ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การใช้งานในตอนกลางคืนเป็นไปอย่างราบลื่น และส่งผลดีต่อสุขภาพดวงตาของของผู้ใช้งาน โดยฟีเจอร์ Dark Mode หลักการทำงานจะเปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีดำ เพื่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมในที่แสงน้อยได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งช่วยทั้งเรื่องของการประหยัดพลังงาน พร้อมถนอมสายตา และก่อให้เกิดความผ่อนคลายแก่ผู้ใช้งาน

(Dark Mode สามารถใช้งานได้กับบางแอปฯ)

ไม่ได้เด่นแค่หน้าจอแสดงผล แต่ Vivo Nex 3 ยังมาพร้อมกับ ชิปเสียง AK4377A audio DAC และระบบเสียง Hi-Fi ที่พัฒนาโดยค่าย Vivo ซึ่งทั้งตัว ชิปเสียงและระบบ Hi-Fi จะช่วยให้ผู้ใช้งานดื่มด่ำไปกับโลกแห่งเสียงเพลงที่ยกระดับคุณภาพเสียงต่างจากสมาร์ตโฟนทั่ว ๆ ไป

Vivo Nex 3 มาพร้อมฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรที่มีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี Full Netcom 4.0 ทำให้สามารถสามารถจับสัญญาณ 4G/3G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม รวมไปถึงยังรองรับ Dual VoLTE ที่สามารถเปิด VoLTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม ทำให้การโทรผ่านสัญญาณที่มีความเร็วสูงบนคลื่น 4G  มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานด้านการโทรควบคู่ไปกับการใช้งาน Data ได้อย่างราบลื่นอีกด้วย

ฟีเจอร์อื่น ๆ ในด้านการโทรที่ให้มาก็ถือว่าครบถ้วนและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวัน เช่นฟีเจอร์บล็อคสาย บล็อคข้อความ ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถบันทึกสายขณะโทรได้โดยตรง ไม่ต้องลงแอปเพิ่มเติมแต่อย่างใด

สำหรับปุ่มนำทาง สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะกับความถนัดของเราได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมี Full Screen gesture ที่มาพร้อมฟีเจอร์สั่งการง่าย ๆ และสามารถใช้งานจอแสดงผลได้แบบเต็ม 100%

ซึ่ง Navigation gestures เป็นฟีเจอร์ที่ใช้การสไลด์นิ้วบนหน้าจอแสดงผลแทนการกดปุ่ม navigation เพื่อให้เหลือพื้นที่การใช้งานที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะใช้รูปแบบการสั่งการแบบไหน เช่นการลากจากขอบด้านล่างจากตำแหน่งตรงกลาง เพื่อกลับไปที่หน้าโฮม ซึ่งก็เหมือนการกดที่ปุ่มโฮมนั่นเอง

Jovi AI Engine ผู้ช่วยอันชาญฉลาด โดย Jovi Smart Scene จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับชีวิตประจำวันยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการอัปเดตสภาพอากาศพร้อมการแจ้งเตือนการเดินทาง, การออกกำลังกายที่มีการเก็บสถิติครบถ้วน การแจ้งเตือนสิ่งที่ต้องทำ และการแจ้งเตือนในกีฬาที่เราชื่นชอบ เช่นแมตช์การแข่งขันในสัปดาห์นี้เป็นต้น

โหมดใช้งานมือเดียวและการจับภาพหน้าจอที่มีความหลากหลาย สำหรับการจับภาพหน้าจอก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษของ Vivo โดยสามารถจับภาพหน้าจอได้ยืดหยุ่นมาก ๆ ทั้งการลาก 3 นิ้วขึ้นไปจากหน้าจอแสดงผล

รวมไปถึงการจับภาพหน้าจอแบบยาวๆ หรือรูปแบบอิสระ อีกทั้งยังบันทึกหน้าจอในรูปแบบของวีดีโอได้อีกด้วย และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเชียลยอดนิยม เช่น Line, Facebook หรือ Instagram ได้พร้อม ๆ กันถึง 2 แอคเคาท์ในเครื่องเดียว

 

ฟีเจอร์ยอดนิยมของสมาร์ตโฟนในยุคนี้ ต้องมีการแบ่งหน้าต่างเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชั่นไปพร้อม ๆ กัน เช่นแชทไปด้วยด้วยพร้อมดู YouTube ในขณะเดียวกัน

ซึ่งบน Vivo Nex 3 นั้นเรียกใช้งานการแบ่งหน้าจอได้ง่าย ๆ เพียงลาก 3 นิ้วจากด้านบนลงไปยังด้านล่าง ก็จะสามารถใช้งาน 2 แอปฯในหนึ่งหน้าจอได้ในทันที

โหมดการใช้งานอัจฉริยะ เป็นฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานมาอย่างยาวนานบนสมาร์ตโฟนของ Vivo ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ก็คือการทำงานร่วมกับพวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก เช่น วาดตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชั่น, ปลดล็อคด้วยการโบกมือผ่านหน้าจอ การแจ้งเตือน การรับสายหรือเปลี่ยนเป็นโหมดแฮนด์ฟรีอัตโนมัติ ฯลฯ

ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าความไวในการกดปุ่มสัมผัส Touch Sense ได้สามระดับ และยังสามารถตั้งค่าให้แสดงผลปุ่มสัมผัสแบบเสมือนบนหน้าจอแสดงผลได้อีกด้วย

ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย ด้วยผู้ช่วยอัฉริยะ i-Manager ที่มาพร้อมความสามารถครบครัน ทั้งสแกนไวรัส ลบไฟล์ขยะ ระบายความร้อน สำรองข้อมูลและจัดการด้านพลังงาน

ไม่น่าเชื่อว่าแบตจะอึดมาก เพราะ Vivo Nex 3 มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่เต็มตาถึง 6.89 นิ้ว แต่ด้วยชิปเซ็ตรุ่นใหม่ ผสานการปรับแต่งเฟิร์มแวร์และระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน C-DRX จึงช่วยให้การจัดสรรพลังงานได้อย่างเหมาะสม ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป สามารถใช้งานครบวันจนถึงบ้านได้อย่างแน่นอน ส่วนถ้าใครเน้นเล่นเกมหรือใช้งานหนัก ๆ ก็ไม่ต้องซีเรียสครับ เพราะ Vivo Nex 3 รองรับชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี Vivo FlashCharge (22.5W) จากที่ลองชาร์จจากระดับแบต 50% จนถึง 100% ใช้เวลาไม่ถึง 50 นาที ซึ่งต้องบอกเลยว่าชาร์จได้เร็วมาก ๆ 

ประสิทธิภาพ

อย่าถามหาความแรง เพราะ Vivo Nex 3 นั้นแรงจนเหลือเฟือ ด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Qualcomm SDM855 Snapdragon 855+ บนสถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร เรียกว่าไม่น้อยหน้าหรือด้อยกว่าเรือธงแบรนด์อื่น ๆ ณ ปัจจุบัน แถมยังจัดเต็มกว่าด้วย พื้นที่เก็บข้อมูลภายในแบบ UFS 3.0 เมื่อผสานกับ RAM ถึง 8GB แบบ DDR4 จึงตอบโจทย์การใช้งานได้คลอบคลุม จะเล่นเกมกราฟิกหนัก ๆ หรือเรนเดอร์วีดีโอความละเอียดสูงก็ไม่มีปัญหา ส่วนการเชื่อมต่อและเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน อาทิ  Gyroscope, Magnetomete,  Accelerometer สำหรับภาครับสัญญาณ GPS ก็มีความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากครับ

 

มัลติมีเดียและความบันเทิง

Music Player มาพร้อมจุดเด่นด้าน Software ด้วยฟีเจอร์ DeepField เอฟเฟ็กต์เสียงที่พัฒนาโดย Vivo ทำให้เสียงที่ได้มีความนุ่มลึก คมชัดใสเคลียร์ รองรับการจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 360 องศา อีกทั้งยังปรับแต่งเสียงผ่าน EQ ได้ยืดหยุ่นและตรงใจผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น  เมื่อผสานกับชิปเสียง AK4377A  และระบบเสียง Hi-Fi ที่พัฒนาโดยค่าย Vivo ก็จะยิ่งช่วยให้ผู้ใช้งานได้ดื่มด่ำไปกับโลกแห่งเสียงเพลงที่ยกระดับคุณภาพเสียงที่มีความแตกต่างจากสมาร์ตโฟนทั่ว ๆ ไป

Video Player บน Vivo Nex 3 รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียด 4K ได้อย่างไหลลื่น แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น

ทดสอบการเล่นเกม

ในด้านการเล่นเกม ด้วยความที่มาพร้อมสเปคระดับเรือธง ฉะนั้นการปรับตั้งค่าต่าง ๆ จึงเลือกได้ในระดับสูงสุด ส่วนความลื่นไหลนั้นหายห่วง สิ่งที่อยากบอกเล่าจริง ๆ  คือ Vivo Nex 3 มีหน้าจอแสดงผลที่ยอดเยี่ยม แสดงผลได้เต็มตา ไร้รอยบาก แถมยังรองรับ HDR 10 รวมถึงการแสดงสีสันตามมาตรฐาน sRGB 100%, DCI-P3 100% พร้อมตอบโจทย์การเล่นเกมได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น เมื่อรวมกับ Ultra-Game Mode และฟีเจอร์ใหม่ ๆ อย่าง 4D Vibration ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์สั่นสะเทือน X-Axis Haptic ส่งผลให้การเล่นเกมต่อสู้ได้ดุเดือด มีความสมจริง เช่นการสั่นตอบสนองในเวลาที่ยิงปืน หรือการชน การกระแทกเป็นต้น

สรุป Vivo Nex 3 เป็นสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์การเล่นเกมได้ดีมาก ๆ ใครเน้นเล่มเกมเลือก Vivo Nex 3 ได้เลย รับรองไม่ผิดหวัง

ทดสอบกล้องหน้า/หลัง

User Interface  หรือหน้าตาเมนูกล้อง มีการปรับเลย์เอาท์ใหม่เล็กน้อย โดยมุมขวาบนของเมนูกล้องจะแสดงไอคอนรูปม่านชัตเตอร์ ซึ่งตรงนี้จะเป็นเมนูทางลัดเพื่อเข้าถึงโหมด Ultra wide angle, Bokeh, และ Super macro

กล้องหน้าขับเคลื่อนด้วย AI อันชาญฉลาด ในโหมดบิวตี้สามารถแยกเพศเพื่อให้การเซลฟี่ออกมาสมบูรณ์และเหมาะสม ส่วนฟีเจอร์หลักอันเป็นจุดขายให้มาครบถ้วนทั้ง AI Face Beauty, 3D Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งการเซลฟี่ให้ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการของเราได้มากที่สุด เช่นปรับผิวนวลกระจ่างใส, ปรับโครงสร้างใบหน้า, ปรับให้ดวงตากลมโต, ริมฝีปากอิ่ม, จมูกเรียวโด่ง, คางเรียว เป็นต้น

Auto Mode

Portrait mode

Portrait mode

Vivo Nex 3 มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ Hyper-HDR  เพื่อการถ่ายภาพบุคคลโดยเฉพาะ โดยสามารถวิเคราะห์พร้อมปรับแสงบนใบหน้าให้สว่างเท่ากับส่วนที่สว่างที่สุดของสภาพแวดล้อมพื้นหลัง ได้สูงถึง 7.65eV ส่งผลให้ใบหน้าดูโดดเด่นและให้สีผิวที่ดูเป็นธรรมชาติอีกด้วย

ในโหมด Portrait จะมี Filter และ Portrait light effect ที่ช่วยเสริมให้การถ่ายภาพบุคคลมีความน่าตื่นตาตื่นใจ โดยจะให้ฟิลลิ่งที่แปลกใหม่โดยไม่ต้องพึงพาอุปกรณ์เสริม ตัวอัลกอริทึม AI ของ Nex 3 จะปรับภาพใบหน้าสองมิติให้กลายเป็นสามมิติ และปรับแสงที่ใบหน้า ให้ภาพออกมามีความโดดเด่น ซึ่งเราสามารถเลือกเอฟเฟ็กต์ได้ทั้งแบบ  Natural light, Studio light, Stereo light, Loop light, Rainbow light, และ Monochrome background

แน่นอนว่ายังมาพร้อมกับ AR Stickers ที่ใส่อีโมจิหรือสติ๊กเกอร์ 3D น่ารัก ๆ ฟรุ้งฟริ้ง มุ้งมิ้ง ให้กับรูปถ่ายของเรา

กล้องหลัง AI 3 เลนส์ 64  ล้านพิกเซล  พร้อมเทคโนโลยี Quad-Bayer ช่วยให้ภาพที่ถ่ายออกมามีสีสันสวยงามมากขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเลนส์มุมกว้าง เก็บภาพได้ทุกรายละเอียด เปิดมุมมองการถ่ายภาพให้กว้างขึ้น อีกทั้งยังมี Super Macro Camera ถ่ายถายระยะใกล้ได้ถึง 2.5 ซม. ช่วยให้สามารถเก็บทุกรายละเอียดได้ใกล้มากยิ่งขึ้นกว่าที่เคย

Auto Mode

Portrait mode

สำหรับกล้องหลังจะมี Filter และ Portrait light effect มาให้ใช้งานเหมือนกล้องหน้า แต่จะมีเอฟเฟ็กต์ให้ใช้งาน 5 รูปแบบ ประกอบไปด้วย Studio light, Stereo light, Loop light, Rainbow light, และ Monochrome background

Studio Light

Stereo Light

Loop Light

Rainbow light

Monochrome background

 

หนึ่งในฟีเจอร์อันเป็นจุดขาย ก็คือ AI Body Shaping นั่นเอง เป็นฟีเจอร์ที่สามารถปรับแต่งรูปร่างของเราให้ดูเพรียวบางสมส่วน เช่น ปรับในภาพรวมของรูปร่างหรือเฉพาะจุดที่ต้องการ เช่น ศีรษะ ไหล่ สะโพก ขา หรือเอวให้ดูเล็กลงได้เป็นต้น

Normal Mode ที่ระยะปรกติ 1x

Ultra wide angle (มุมกว้างพิเศษ)

ในโหมด Ultra-Wide จะให้มุมมองกว้างเป็นพิเศษถึง 120 องศา ทำให้สามารถถ่ายวิวทิวทัศน์ในมุมมองที่กว้างขึ้น ไม่ต้องถอยไกลแม้จะอยู่ในพื้นที่จำกัด รวมถึงสามารถเก็บภาพถ่ายแบบหมู่คณะผองเพื่อนได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นอีกต่อไป

 


Zoom 2x

Zoom 5x

Zoom 10x

Zoom 20x

 

เก็บความประทับใจด้วยกล้องหลังความละเอียดสูงถึง 64 ล้านพิกเซล

รูปนี้ทดสอบด้วยการ Crop 100% ที่ 2000×1500 พิกเซล ตัวภาพก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้ แต่หากเป็นกล้องที่มีความละเอียดต่ำ ก็จะสูญเสียรายละเอียดในภาพรวมออกไป ไม่สามารถนำมาใช้งานได้เหมือนในภาพตัวอย่างนี้

และอีกหนึ่งประโยชน์ของกล้องที่มีความละเอียดสูง ก็คือสามารถต่อยอดนำภาพไปใช้งานได้ยืดหยุ่น เช่นนำไปอัดขยายได้ภาพที่มีขนาดใหญ่และยังคงความคมชัดไว้ได้นั่นเอง

 

Super macro


Normal Mode


Super macro


Normal Mode


Super macro

เลนส์มาโคร ที่สามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้ถึง 2.5 ซม. ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่นภาพแมลง หรือวัตถุที่ต้องการเน้นความคมชัดและรายละเอียด ซึ่งเลนส์มาโครจะช่วยให้การถ่ายภาพนั้นสนุกและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวันได้อย่างแน่นอน

 

AI Night Mode

Auto Mode

Night Mode

AI Night Mode ที่เป็นการถ่ายภาพซ้อนหลาย ๆ ภาพ จากสภาพแสงที่มีความแตกต่างกัน จากนั้นนำภาพที่ได้มารวมกันเป็นภาพเดียว ทำให้ภาพถ่ายกลางคืนหรือในที่แสงน้อย มีความสว่างและคมชัดโดยไม่ต้องพึ่งพาขาตั้งกล้อง

สำหรับ Night Mode ไม่ได้ทำให้ภาพสว่างขึ้นมาเพียงอย่างเดียว แต่ายังช่วยดึงดีเทลรายละเอียดของภาพกลับมาอีกทางหนึ่งด้วย สามารถดูการเปรียบเทียบได้จากภาพตัวอย่าง ซึ่งภาพด้านล่างเมื่อเมื่อเปิดใช้ AI Night Mode แล้ว ภาพจะดูสว่างขึ้นและเพิ่มรายละเอียดในส่วนที่ขาดหายไปจากภาพด้านบน

 

จากนี้ไปรับชมภาพจากสภาพแสงต่าง ๆ กันต่อครับ

 

สรุป Vivo Nex 3

ในภาพรวม Vivo Nex 3 โดดเด่นรอบด้านอย่างแท้จริง โดยเรื่องสเปคนั้นแรงหายห่วง ด้วยชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Qualcomm SDM855 Snapdragon 855+ บนสถาปัตยกรรม 7 นาโนเมตร เรียกว่าไม่น้อยหน้าหรือด้อยกว่าเรือธงแบรนด์อื่น ๆ ณ ปัจจุบัน แถมยังจัดเต็มกว่าด้วย พื้นที่เก็บข้อมูลภายในแบบ UFS 3.0 เมื่อผสานกับ RAM ถึง 8GB แบบ DDR4 จึงตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างคลอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมที่มีกราฟิกหนัก ๆ หรือเรนเดอร์วีดีโอความละเอียดสูงก็ไม่มีปัญหา แถมยังตอบโจทย์ด้านความบันเทิงได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยหน้าจอแสดงผลระดับไฮเอนด์ Waterfall FullView™ Display ใหญ่เต็มตาในขนาด 6.89 นิ้ว ไร้รอยบาก มาพร้อมอัตราส่วน 20:9 มีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องสูงถึง 99.6% โดดเด่นด้วยพาเนล E3 Super AMOLED ซึ่งลดการใช้พลังงานลง 7% เมื่อเทียบกับจอ E2 AMOLED และยังรองรับ HDR 10 รวมถึงการแสดงสีสันตามมาตรฐาน sRGB 100%, DCI-P3 100% แถมมีกิมมิคสวย ๆ ด้วย เอฟเฟกต์แสงโดยรอบบนหน้าจอโค้ง รองรับการทำงานร่วมกับการแจ้งเตือน ทั้งสายโทรเข้า, ข้อความ, และ Music Player

นอกจากนี้ยังมีชิปเสียง AK4377A  และระบบเสียง Hi-Fi ที่พัฒนาโดยค่าย Vivo ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานดื่มด่ำไปกับโลกแห่งเสียงเพลงที่ยกระดับคุณภาพเสียงที่แตกต่างจากสมาร์ตโฟนทั่ว ๆ ไป ส่วนเรื่องกล้องก็ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมทั้งกล้องและหลัง ทั้งการถ่ายเซลฟีได้สวยในทุกสภาพแสง รองรับการถ่ายภาพมุมกว้าง และถ่ายมาโครระยะใกล้ได้ถึง 2.5 ซม. รองรับการซูมแบบดิจิตอลได้ 20x  เรียกว่าพกเครื่องเดียวเอาอยู่ในทุกสถานการณ์

สุดท้ายด้านการจัดสรรพลังงานก็ถือว่าโดดเด่นไม่แพ้กัน ด้วยแบตเตอรี่ความจุสูง 4500mAh พร้อมระบบระบายความร้อน Vapor Chamber และเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน C-DRX จึงช่วยให้การจัดสรรพลังงานได้อย่างเหมาะสม ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป สามารถใช้งานครบวันจนถึงบ้านได้อย่างแน่นอน ส่วนถ้าใครเน้นเล่นเกมหรือใช้งานหนัก ๆ ก็ไม่ต้องซีเรียส เพราะ Vivo Nex 3 รองรับชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี Vivo FlashCharge (22.5W) ซึ่งได้ลองชาร์จจากระดับแบต 50% จนถึง 100% ใช้เวลาไม่ถึง 50 นาที ต้องบอกเลยว่าชาร์จได้เร็วมาก ๆ เอาเป็นว่าใครต้องการความสุด และจบในเครื่องเดียว ในงบประมาณที่ไม่สูงจนเกินไป Vivo Nex 3 คือตัวเลือกที่ดีที่สุดของชั่วโมงนี้ครับ

 

 

Facebook Comments

Related Posts