รีวิว OPPO Reno 10x Zoom สมาร์ทโฟนพรีเมี่ยม กล้องหน้า Pivot Rising Camera กล้องหลัง 3 เลนส์ซูมไกล 60 เท่า พร้อมสเปคจัดเต็ม !!!

โดย J.wasan
0 ความเห็น 3.7K views

เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย สำหรับ OPPO Reno Series สมาร์ทโฟนซีรีย์ใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มตลาดพรีเมี่ยม ด้วยสเปค Hardware ระดับท็อปและนวัตกกรมที่อัดแน่น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ในแบบ Symmetry Design ความงามแบบสมมาตรและสมดุล พร้อมตัวเครื่องไร้รอยต่อและไล่ระดับเฉดสีแบบ 3 มิติ,  กล้องหน้า Rising Camera ดีไซน์สุดล้ำ ผสานด้วยกล้องหลัง Triple Camera รองรับการซูม 10x Hybrid Zoom โดยไม่สูญเสียความความคมชัด และยังโดดเด่นด้วยการซูมไกล 60 เท่าในแบบดิจิตอล พร้อมขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ตตัวท็อปล่าสุด Snapdragon 855, RAM 8GB, ROM 256GB และ AI อันชาญฉลาด รวมถึงแบตเตอรี่ความจุขนาดใหญ่ 4,065mAh รองรับชาร์จเร็วเทคโนโลยี VOOC 3.0 และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมายที่อัดแน่นอยู่ภายใน สมกับความเป็นสมาร์ทโฟนพรีเมี่ยมที่โดดเด่นรอบด้านอย่างแท้จริง

สเปคเบื้องต้น OPPO Reno 10x Zoom 

ขนาด 162 x 77.2 x 9.3 มม.
น้ำหนัก 215 กรัม
หน้าจอแสดงผล หน้าจอ  AMOLED ขนาด 6.6 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (1080 x 2340 pixels) อัตราส่วนการแสดงผล 19.5:9 Screen Ratio : 93.1% กระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 รองรับ DCI-P3
หน่วยประมวลผล ชิปเซ็ต Qualcomm SDM855 Snapdragon 855 (7 nm) ประมวลผล Octa-core (1×2.84 GHz Kryo 485 & 3×2.42 GHz Kryo 485 & 4×1.80 GHz Kryo 485) หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 640
RAM 8GB
หน่วยความจำภายในเครื่อง 256GB
หน่วยความจำเสริม microSD 256GB
กล้องถ่ายภาพ กล้องหลัง: AI Triple Camera 3 เลนส์
8 เมกะพิกเซล รูรับแสง f/2.2, Super Wide-Angle Camera เลนส์มุมกว้างพิเศษ
48 เมกะพิกเซล  รูรับแสง f/1.7, 1/2.0″, 0.8µm, Laser/PDAF, OIS  Main Camera
Periscope 13 เมกะพิกเซล รูรับแสง f/3.0, (telephoto), 5x optical zoom, Laser/PDAF, OISDual-LED dual-tone flash——————————————————-กล้องหน้า Pivot Rising Camera :16 เมกะพิกเซล, รูรับแสง f/2.0
ระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย (ColorOS 6)
เชื่อมต่อ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, WiFi Direct, hotspot
บลูทูธ 5.0  support A2DP, EDR, LE, aptX HD
NFC enabled
GPS  dual-band A-GPS, GLONASS, BDS, GALILEO, QZSS
รองรับระบบ รองรับการทำงาน Dual-SIM  2 ซิมการ์ด (Nano-SIM)

GSM: 850/900/1800/1900MHz
WCDMA: Bands 1/2/4/5/6/8/19
LTE FDD: Bands 1/2/3/4/5/7/8/12/13/17/18/19/20/25/26/28/29/32/66
LTE TDD: Bands 34/38/39/40/41
แบตเตอรี่ 4065 mAh  รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0
สี/ราคาวางจำหน่าย สีที่วางจำหน่ายในไทย Ocean Green, Jet Black

ราคาเปิดตัว 28,990 บาท

 

 

PACKAGING & ACCESSORIES

กล่องบรรจุภัณฑ์มาในรูปทรงแนวยาว ใช้โทนสีบรอนซ์เงินที่แฝงไว้ไว้ด้วยความกิมมิค ด้วยการสะท้อนสียามพลิกตัวกล่องและกระทบแสงไฟ โดยด้านหน้าของตัวกล่องโชว์ดีไซน์ของตัวฝาหลังของตัวเครื่องพร้อมบ่งบอกชื่อรุ่นไว้ด้านล่างของตัวกล่อง เรียกว่าสัมผัสความหรูหราพรีเมี่ยมตั้งแต่แรกจับเลยทีเดียว

สำรวจอุปกรณ์ภายในกล่องของ OPPO Reno 10x Zoom กันว่ามีอะไรให้มาบ้าง

  1. คู่มือการใช้งานฉบับย่อและใบรับประกันสินค้า + เข็มจิ้มเปิดถาดซิมการ์ด

2. เคสที่ให้มามีการออกแบบที่แปลกตา ดูพรีเมี่ยม แตกต่างจาก โทรศัพท์ทั่วไปที่จะให้เป็นเคสซิลิโคนแบบใส ซึ่งออกแบบได้สวยงามสอดรับกับความพรีเมี่ยมของตัวเครื่อง โดยตัดขอบด้วยโทนสีดำเรียบขรึม ส่วนด้านหลังใช้วัสดุและเท็กเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งคล้ายหนังแท้ สอดประสานเข้ากับด้านในที่บุด้วยกำมะหยี่ที่ให้ความหรูหราพร้อมช่วยปกป้องตัวเครื่องได้อย่างดีเยี่ยม

3. หูฟังสมอลทอล์ค แบบอินเอียร์ ตัวพอร์ตเป็นชนิด Type-C และให้จุกยางสำรองมาอีก 2 ขนาด เท่าที่ได้ทดสอบเบื้องต้นหูฟังตัวนี้ให้สุ้มเสียงที่ที่ค่อนข้างน่าประทับใจ แถมการสวมใส่ยังกระชับดีอีกด้วย

4. สาย USB Type C + อแดปเตอร์ชารจ์ Output 5V-2A / 5V-4A รองรับเทคโนโลยีชาร์จไวรุ่นใหม่ล่าสุด VOOC Flash Charge 3.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เร็วขึ้นกว่าเวอร์ชันก่อนถึง 20%

 

DESIGN & HARDWARE

เป็นอีกครั้งที่ OPPO โชว์ความเป็นผู้นำในด้านดีไซน์ หลังจากที่เราเคยได้สัมผัสกันมาแล้วกับการออกแบบตัวเครื่องโดยใช้การไล่โทนเฉดสี หรือการใส่ลวดลายกลีบดอกไม้ไว้ในชั้นเลเยอร์เป็นต้น โดย OPPO Reno 10x Zoom มาพร้อมดีไซน์ Symmetry Design ความงามแบบสมมาตรและสมดุล ที่เน้นในเรื่องความสมมาตรและสุนทรียศาสตร์เข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ลงตัว ซึ่งดีไซน์ Symmetry นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมระดับโลก อาทิเช่น พระราชวังกู้กงในประเทศจีน พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ และทัชมาฮาลเป็นต้น

เมื่อแรกสัมผัส OPPO Reno 10x Zoom จะเห็นว่ามีการออกแบบการวางเลย์เอาท์กล้องไว้กึ่งกลางของตัวฝาหลัง และใช้แถบเส้นคาดสีดำที่ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความบาลานซ์ พร้อมโดดเด่นด้วยการเลือกใช้วัสดุพรีเมี่ยมจากกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 เวอร์ชั่นล่าสุด ส่วนด้านหลังจะเป็นกระจกโค้ง Corning Gorilla Glass 5 พร้อมผสานด้วยขอบเฟรมอะลูมิเนียมที่เด่นในเรื่องความแข็งแกร่งทนทานแต่มีน้ำหนักที่เบา และการที่เปลี่ยนมาใช้กล้องหน้าแบบ Pivot Rising Camera ส่งผลให้มีการใช้งานพื้นที่ของหน้าจอแสดงผลได้เต็มประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่าขอบจอของ OPPO Reno 10x Zoom นั้นบางเฉียบ แทบจะไร้ขอบเลยก็ว่าได้

สำหรับดีไซน์ในภาพรวมของ OPPO Reno 10x Zoom นั้นมีความเรียบหรูพร้อมแฝงไว้ด้วยความพรีเมี่ยม โดยตัวสี Jet Black ที่ได้มารีวิว เมื่อยามแสงตกกระทบกับตัวเครื่องจะมองเห็นได้ถีงสามสี ทั้งสีดำ สีเทาและสีเงิน ซึ่งเป็นการดีไซน์ไล่โทนเฉดสี 3 มิติ ได้อย่างสวยงามลงตัว  สามารถมอบความรู้สึกอันน่าประทับใจได้ในทันทีเมื่อแรกสัมผัส อีกทั้งตัวเครื่องยังมีความเพรียวบาง และมีความโค้งมนจากฝาหลัง 2D ทำให้ตัวบอดี้นั้นสอดรับเข้ากับสรีระของฝ่ามือได้เป็นอย่างดี จึงส่งผลให้การจับถือมีความกระชับ ถนัดมือ ไม่ลื่นหลุดมือได้โดยง่าย แม้จะมาพร้อมหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ถึง 6.6 นิ้วก็ตาม

 

หน้าจอ Panoramic Screen ที่มาพร้อมกับพาแนล new AMOLED luminescent materials ขนาด 6.6 นิ้ว ในอัตราการแสดงผล 19.5:9 มีพื้นทีแสดงผลต่อบอดี้สูงถึง 93.1% และผสานความแข็งแกร่งด้วยกระจกกันรอย Corning Gorilla Glass 6 เวอร์ชั่นล่าสุด นอกจากนี้ยังรองรับการ color gamut (ขอบเขตของสี) DCI-P3 ส่งผลให้การใช้งานด้านความบันเทิงได้อย่างเต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ รวมถึงยังรองรับเทรนด์ยอดนิยมด้วยเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือภายใต้จอแสดงผล (Hidden Fingerprint 2.0) อีกด้วย

ด้านบนของขอบจอจะเจาะเป็นช่องลำโพงสนทนาและให้เสียงลำโพงสเตอริโอดังลอดออกมา โดยตัวลำโพงสนทนาจะจัดวางในเลย์เอาท์บนพื้นที่เดียวกันกับกล้องหน้า Pivot Rising Camera

 

กล้องหน้า Pivot Rising Camera  ป็อบ อัพ สไลด์ด้วยกลไกมอเตอร์ มารูปทรงรูปทรงครีบฉลามอันโดดเด่น  ตัวกล้องหน้าให้ความละเอียดมาที่ 16 ล้านพิกเซล มีค่ารูรับแสง f/2.0 พร้อมไฟแฟลช facing Soft Light

สำหรับระบบกลไกมอเตอร์ของกล้องหน้า มีการทำงานที่รวดเร็วและสมูทลื่นไหลมาก โดยใช้เวลาในการทำงานเพียง 0.8 วินาที อีกทั้งยังผ่านการทดสอบเรื่องความแข็งแรงทนทานโดยทาง OPPO เคลมด้านความทนทานในการใช้งานกว่า 200,000 ครั้ง แม้ใช้งานเฉลี่ย 100 ครั้งต่อวัน ตัวโครงสร้างกลไกมอเตอร์ก็สามารถใช้งานได้มากกว่า 5 ปี ดังนั้นผู้ใช้งานจึงมั่นใจได้ว่าสามารถใช้งานกล้องหน้า Pivot Rising Camera ได้อย่างยาวนานต่อเนื่อง ไม่ต้องวิตกกังวลในเรื่องความแข็งแรงทนทานของกลไกมอเตอร์กล้องหน้าแต่อย่างใด

และนอกจากนี้ ตัวกล้องหน้ายังมาพร้อมฟีเจอร์ในการปกป้องอุบัติเหตุจากการใช้งานอีกด้วย โดยเมื่อตัวเครื่องตกจากที่สูง ตัวเซนเซอร์ตรวจจับระยะจะทำหน้าที่ตรวจจับและกล้องหน้าจะสไลด์ปิดตัวเองลงโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยปกป้องและสร้างความอุ่นใจในการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมในทุกสถานการณ์

 

พลิกกลับมาที่ด้านหลัง จะมีไฟแฟลช Dual Tone ของตัวกล้องหลัง ส่วนด้านบนจะเป็นไมค์ที่ใช้ในการบักทึกเสียงพร้อมตัดเสียงรบกวนในตัว

ด้านล่างจะมีช่องถาดซิมการ์ด – microSD Card พอร์ต Type-C ไมค์สนทนา และลำโพงสเตอริโอตัวที่ 2 และสุดท้ายคือเส้นสัญญาณเสาอากาศ

OPPO Reno 10x Zoom รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด โดยตัวถาดเป็นแบบไฮบริด สล็อต โดยสามารถเลือกใช้งานแบบ Nano Sim 2 ซิม หรือ 1 Nano Sim + microSD Card

 

ฝั่งซ้ายมือจะเป็นที่อยู่ของปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง โดยมีเส้นสัญญาณเสาอากาศผาดอยู่ที่บริเวณมุมและล่าง ส่วนฝั่งขวาจะเป็นปุ่มพาวเวอร์ตัดด้วยสีเขียวดูสวยงามพรีเมี่ยม และจัดวางตำแหน่งได้ดีมาก คือไม่อยู่สูงหรือต่ำจนเกินไป ทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกคล่องตัว

ด้านหลังโดดเด่นด้วยการจัดวางเลย์เอาท์กล้องในแนวตั้งกึ่งกลางของตัวเครื่อง โดยตัวกล้องจะเรียบเนียนไปกับตัวฝาหลัง ไม่มีส่วนของชิ้นเลนส์ยื่นออกมา และถัดลงจะเป็นแถบคาดสีดำที่แปะโลโก้แบรนด์เอาไว้ และปุ่ม O-Dot ที่ช่วย ช่วยปกป้องเลนส์ของกล้องไม่ให้สัมผัสกับพื้นโดยตรงเมื่อวางโทรศัพท์ลงบนพื้นผิวเรียบ

 

กล้องหลัง: AI Triple Camera 3 เลนส์ จัดเต็มทั้งฟีเจอร์และคุณสมบัติทางด้าน Hardware ชั้นเลิศ โดยความโดดเด่นของกล้องหลัง 3 เลนส์ของ OPPO Reno 10x Zoom มีรายละเอียดดังนี้

Main Camera หรือกล้องหลักที่มาพร้อมความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586 มีค่ารูรับแสงกว้าง f/1.7 ระบบโฟกัส Laser/PDAF, และกันสั่น OIS

เลนส์ตัวที่ 2 เป็น Super Wide-Angle Camera หรือเลนส์มุมกว้างพิเศษ โดยมีขนาดมุมกว้างสุด 120 องศา ตัวเซ็นเซอร์เป็น SONY ในรุ่น IMX319 ที่มาพร้อมความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.2

สุดท้ายคือเลนส์ทางยาว Periscope ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/3.0, (telephoto), 5x optical zoom, Laser/PDAF, OIS โดยจุดเด่นของเลนส์ Periscope คือการออกแบบชิ้นเลนส์แบบ  “D-cut” โดยเปลี่ยนการจัดกลุ่มเลนส์จากแนวตั้งเป็นแนวนอน เมื่อรวมกับระบบ Dual-Motor หรือมอเตอร์คู่ โดยให้กล้องความละเอียด 48MP และ 8MP ใช้มอเตอร์ในการโฟกัสภาพด้วยมอเตอร์เดียวกัน ทำให้ประหยัดพื้นที่เพิ่มขึ้นถึง 2.95 มม. จึงส่งผลให้กล้องหลังของ OPPO Reno 10x Zoom เรียบเสมอไปกับฝาหลัง ไม่มีชิ้นส่วนของเลนส์ยื่นนูนออกมา ซึ่งส่งผลดีทั้งในเรื่องความสวยงามและการปกป้องเลนส์ไปในตัว สำหรับแฟลชด้านหลังถูกซ่อนอยู่ใน Pivot Rising Camera

ถัดลงมาจะเป็นไมค์ตัวที่ 2 และ O-Dot ปุ่มเซรามิกที่รอบคาดด้วยวงแหวนสีเขียวดูโดดเด่นสะดุดตา ด้วยการที่กล้องทั้ง 3 ตัวถูกออกแบบฝังลงไปกับตัวเครื่องไม่นูนออกมา O-Dot จึงช่วยปกป้องเลนส์ของกล้องไม่ให้สัมผัสกับพื้นโดยตรงเมื่อวางโทรศัพท์ลงบนพื้นผิวเรียบ ซึ่ง O-Dot จะช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้นมาจากพื้นนิดนึงเพื่อไม่ให้บริเวณกล้องหลังสัมผัสกับพื้นโดยตรง

 

ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่นบน OPPO Reno 10x Zoom

Hidden Fingerprint Unlock 2.0 ระบบเซอร์เซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ซ่อนอยู่ภายใต้จอแสดงผล ซึ่งในเวอร์ชั่น 2.0 มีการใช้ชิ้นเลนส์แบบ 3P เพื่อลดความผิดเพี้ยนและเพิ่มแสงเพื่อให้ได้ภาพลายนิ้วมือที่แม่นยำยิ่งขึ้น และยังมาพร้อมฟีเจอร์ “การฉายแสงชดเชย” เพื่อให้ความสว่างของพื้นที่ทั้งหมดเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและสามารถจับภาพลายนิ้วมือได้ดียิ่งขึ้น

อีกทั้งยังนำ AI เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์สภาพลายนิ้วมือเพื่อลดอัตราความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากนิ้วมือที่แห้งหรือชื้น ส่งผลให้อัตราความแม่นยยำของ Hidden Fingerprint Unlock 2.0 นั้นสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 20% – 30% และความเร็วในการปลดล็อกสูงกว่า 28.5% เรียกว่าแตะปุ๊บปลดล็อคปั๊บในทันที

นอกจากนี้ยังมี Effect ในขณะปลดล็อคหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ ซึ่งช่วยเสริมให้ขณะใช้งานดูมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ระบบปลดล็อคด้วยใบหน้า Face unlock บน OPPO Reno 10x Zoom สามารถปลดล็อคได้รวดเร็วแม่นยำ โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 วินาที  และยังทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยหรือในที่มืดได้โดยไม่มีปัญหา

 

New AMOLED luminescent materials

หน้าจอ Panoramic Screen ไร้ขอบ ไร้รอยบาก แสดงผลเต็มตาอย่างแท้จริง เพราะได้มีการซ่อนเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ไว้ภายใต้จอแสดงผล เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับวัตถุอินฟาเรดที่แสดงบนหน้าจอ เซ็นเซอร์วัดแสงในหน้าจอที่มีความไวสูง ซึ่งสามารถวางไว้ในทุกส่วนของหน้าจอ ไม่ต้องอยู่ในกรอบสีดำแบบดั้งเดิมเหมือนในสมาร์ทโฟนยุคที่ผ่าน ๆ มา

หนึ่งในจุดเด่นของจอแสดงผลบน OPPO Reno 10x Zoom ก็คือรองรับ color gamut (ขอบเขตของสี) DCI-P3 และมีคอนทราสต์ที่ให้ความคมชัดสูงถึง 60,000: 1 ทำให้สามารถแสดงผลของสีได้เหมือนกับที่ตาเห็นจากธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งจะช่วยเติมเต็มอรรถรสในการรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในแง่ความคมชัด ความสว่างสดใส รวมถึงความแม่นยำสมจริงของสีสัน ไม่ว่าจะเป็นการสตีมมิ่งคอนเทนต์ออนไลน์ความละเอียดสูง หรือการรับชมรายการทีวี, ภาพยนตร์, สารคดี และคอนเทนต์อื่น ๆ อีกมากมาย

นอกจากนี้จอแสดงผลของ OPPO Reno 10x Zoom ยังมาพร้อมความปลอดภัยที่ช่วยปกป้องดวงตาของผู้ใช้งาน จากการใช้งานในระยะยาวนานต่อเนื่อง โดยหน้าจอแสดงผลของ OPPO Reno 10x Zoom ได้รับการรับรองว่าเป็นหน้าจอที่มีความปลอดภัยสำหรับดวงตา จากสถาบัน TÜV Rheinland โดยมาพร้อมความสามารถในการกรองแสงสีฟ้า ที่เป็นอันตรายต่อดวงตา โดยสามารถกรองแสงสีฟ้าได้ถึง 50% ตรงนี้การันตีได้ว่าจอแสดงผลของ OPPO Reno 10x Zoom นั้นทั้งยอดเยี่ยมและมีความปลอดภัยต่อการใช้งานในระยะยาว

 

HyperBoost 2.0

ตอบโจทย์คอเกมสายฮาร์ดคอร์ด้วย HyperBoost 2.0 ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ FrameBoost และ TouchBoost แบบใหม่ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมอย่างเต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ โดย TouchBoost  จะช่วยเพิ่มการตอบสนองหน้าจอสัมผัสได้ดีขึ้น ส่งผลต่อเกมที่เน้นกราฟิกได้มากขึ้นถึง 21.6% ส่วน FrameBoost จะช่วยลดปัญหาเฟรมเรทตก โดยสามารถวิเคราะห์สถานการณ์แบบ real-time และจัดการเฟรทเรทให้อยู่ในค่าที่ดีที่สุด ซึ่งลดอาการแลคหรือกระตุกได้ถึง 44.1%

สำหรับ Game Space  “การเร่งความเร็วเกม” ที่ช่วย optimization ให้เล่นเกมได้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น และยังมีฟังก์ชั่นที่ช่วยจัดการด้านจัดการด้านเครือข่าย เช่นการปฏิเสธสาย จัดการด้านการแจ้งเตือน ล็อคความสว่างเป็นต้น ทำให้การเล่นเกมบน OPPO Reno 10x Zoom นั้นเป็นไปอย่างสมูทลื่นไหล ไม่มีอาการสะดุดติดขัดให้หงุดหงิดใจในขณะเล่นเกม

 

Game Assistant ในขณะเล่นเกม กล่องข้อความจะแจ้งเตือนแบบโปร่งแสง เพื่อทำให้ไม่พลาดในช่วงสำคัญ นอกจากนี้ยังรองรับการใช้งานทางลัด เช่นการปิดกั้นการแจ้งเตือน การจับภาพหน้าจอ และการบันทึกหน้าจอเป็นต้น

Game Shock ระบบการการสั่นสะเทือนแบบมอเตอร์เชิงเส้นแบบแนวนอน  ซึ่งเมื่อเล่นเกม จะเกิดเอฟเฟกต์เสียงต่าง ๆ ตามฉากของเกม มอเตอร์เชิงเส้นแบบแนวนอนจะสร้างเอฟเฟกต์การสั่นสะเทือนที่แตกต่างกันผ่านอัลกอริทึม โดยการสั่นสะเทือนนี้จะช่วยมอบประสบการณ์การเล่นเกมที่สมจริงยิ่งขึ้น

สุดท้ายการเล่นเกมบน OPPO Reno 10x Zoom ยังสามารถเล่นเกมได้อย่างยาวนานต่อเนื่อง รวมถึงไปการเล่นเกมขณะชาร์จไฟไปด้วยอย่างปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยี ระบายความร้อนแบบใหม่ cooling technologies ถึง 3 ชั้น ทั้งกราไฟท์ เทคโนโลยีทำความเย็นด้วยท่อทองแดง และเจลระบายความร้อนในการควบคุมอุณหภูมิของโทรศัพท์ ส่งผลให้แม้เมื่อเล่นเกมเป็นระยะเวลานาน ๆ โทรศัพท์ก็จะไม่ร้อนเกินไป

 

VOOC Flash Charge 3.0

เทคโนโลยีชาร์จเร็วรุ่นใหม่ล่าสุด VOOC 3.0 เป็นเทคโนโลยีที่ใช้แรงดันไฟฟ้าต่ำแต่รองรับกำลังไฟฟ้าสูง ได้รับมาตรฐานและการันตีในด้านความปลอดภัย โดนผ่านการรับรองความปลอดภัยจากสถาบัน TÜV SÜD สำหรับ VOOC 3.0 อัพเกรดด้วยการใช้อัลกอริทึม VFC แบบใหม่ ลดเวลาการชาร์จแบบ trickle-charging ทำให้ฟีเจอร์ชาร์จเร็วเวอร์ชั่นใหม่ VOOC Flash Charge 3.0 ที่ดีกว่าเดิมถึง 20% อีกด้วย

นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จไป และใช้งานไปพร้อม ๆ กันได้อย่างปลอดภัย ด้วยระบบป้องกันรัดกุมถึง 5 ชั้น แถมยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนแบบใหม่ cooling technologies ถึง 3 ชั้นทำให้เครื่องไม่ร้อนในขณะใช้งาน,ชาร์จแบต และช่วยลดอุณหภูมิเครื่องได้ถึง 13%

 

 

SOFTWARE & FEATURE

OPPO Reno 10x Zoom เปิดตัวมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย ColorOS 6.0 เวอร์ชั่นล่าสุด โดยตัว User Interface มาในสไตล์โมเดิร์น พร้อมเน้นประสบการณ์ใช้งานที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสะดวกคล่องตัว

ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งในส่วนของเลย์เอาท์หน้าจอหลัก ทั้งรูปแบบคอลัมน์ และหน้า Apps Drawer ได้ตรงกับสไตล์การใช้งานส่วนบุคคล รวมถึงภาพพื้นหลัง และรูปแบบธีมที่สวยงามและมีความหลากหลาย สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้จากแอปพลิเคชัน ร้านขายธีม หรือ Theme Store ที่ติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้วภายในเครื่อง

 

ฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรของ OPPO Reno 10x Zoom มีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี Full Netcom 4.0 ทำให้สามารถสามารถจับสัญญาณ 4G/3G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม รวมไปถึงยังรองรับ Dual VoLTE ที่สามารถเปิด VoLTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม ทำให้การโทรผ่านสัญญาณที่มีความเร็วสูงบนคลื่น 4G  มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานด้านการโทรควบคู่ไปกับการใช้งาน Data ได้อย่างราบลื่นอีกด้วย

ฟีเจอร์อื่น ๆ ในด้านการโทรที่ให้มาก็ถือว่าครบถ้วนและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวัน เช่นฟีเจอร์บล็อคสาย บล็อคข้อความ ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถบันทึกสายขณะโทรได้โดยตรง ไม่ต้องลงแอปเพิ่มเติมแต่อย่างใด

 

ไม่ได้มีดีแค่จอ แต่ระบบเสียงก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เด่น ด้วยระบบเสียง Dolby Atmos ตัวที่ช่วยขับเคลื่อนให้ลำโพงสเตอริโอของ OPPO Reno 10x Zoom และผ่านทางชุดหูฟังได้อย่างดีเยี่ยม จำทำให้สามารถส่งมอบประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ได้เต็มอรรถรสกว่าที่เคย

 

สำหรับปุ่มนำทาง Navigation สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะกับความถนัดของเราได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมี Full Screen gesture ที่มาพร้อมฟีเจอร์สั่งการง่าย ๆ แต่สามารถใช้งานจอแสดงผลได้แบบเต็ม 100%

ซึ่ง Navigation gestures เป็นฟีเจอร์ที่ใช้การสไลด์นิ้วบนหน้าจอแสดงผลแทนการกดปุ่ม navigation เพื่อให้เป็นการแสดงผลแบบเต็มหน้าจออย่างแท้จริงนั่นเอง

ในโหมด Quick gestures หรือโหมดตัวช่วยเพิ่มความสะดวก เป็นฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานมาอย่างยาวนานบนสมาร์ทโฟนของหลาย ๆ แบรนด์ ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ก็คือการทำงานร่วมกับพวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก เช่นการคว่ำหน้าจอเพื่อปิดเสียง, วาดบนหน้าเจอเพื่อเปิดแอปฯ / ควบคุมการคอนโทรล Music Player, การจับภาพหน้าจอด้วย 3 นิ้ว, การรับสายอัตโนมัติเมื่อนำโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเป็นต้น

 

Smart Slider สำหรับเรียกใช้งานคีย์ลัด เช่นการจับภาพ / บันทึกหน้าจอ, การเข้าถึงไฟล์, กล้อง, ข้อความและแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ผ่านการสไลด์ที่บริเวณขอบด้านข้างของหน้าจอแสดงผล โดยรองรับการใช้งานทั้งในแนวตั้งและแนวนอน อีกทั้งยังสามารถเพิ่มแอปพลิเคชันอื่น ๆ ที่ต้องการเข้ามาเข้ามาอยู่ในแถบ Smart Slider ได้อีกด้วย

Phone Manager เป็นเครื่องมือสำหรับจัดการประสิทธิภาพภายในตัวเครื่อง ทั้งการลบไฟล์ขยะและไฟล์แคชของระบบ, การจัดการด้านความปลอดภัยความเป็นส่วนตัว, การสแกนไวรัส และการปกป้องด้านการชำระเงินเป็นต้น ซึ่งแอปฯนี้จะช่วยให้การทำงานของตัวเครื่องเต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ มีความรวดเร็วและความปลอดภัยอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

OPPO Cloud สิทธิพิเศษที่ OPPO มอบให้สำหรับลูกค้า โดยเป็นพื้นที่ฝากไฟล์แบบออนไลน์ที่ให้พื้นที่ถึง 5GB ซึ่งทำให้เราสามารถสำรองข้อมูลที่สำคัญต่าง ๆ เช่นรายชื่อ เบอร์โทร รูปภาพ และสามารถกู้คืนข้อมูลได้อย่างสะดวกง่ายดาย OPPO Cloud เป็นบริการพื้นที่ฝากไฟล์ที่เปิดให้ใช้งานฟรี ไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการเพิ่มเติมแต่อย่างใด

แบ่งหน้าต่างเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชั่นไปพร้อม ๆ กัน ได้ง่าย ๆ แค่ลากสาวนิ้วจากล่างขึ้นด้านบนของจอแสดงผล และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเชียลยอดนิยม เช่น Line, Facebook หรือ Instagram ได้พร้อม ๆ กัน ถึง 2 แอคเคานท์ในเครื่องเดียว

ปิดท้ายกันไปด้วยการจัดสรรพลังงาน ในภาพรวมต้องบอกว่า OPPO Reno 10x Zoom นั้นมีแบตที่อึดอย่างน่าประทับใจ หากเป็นการใช้งานทั่ว ๆ  สามารถใช้งามได้ครบ 1 วันแบบสบาย ๆ

ตรงนี้นอกจากแบตเตอรี่ที่ให้ความจุมาสูงถึง 4,065mAh  แล้ว ต้องบอกว่า OPPO Reno 10x Zoom ปรับแต่ง Firmware มาได้ดีมาก จึงทำให้การจัดสรรพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

BENCHMARKS & PERFORMANCE

OPPO Reno 10x Zoom เปิดตัวมาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด Snapdragon 855  ซึ่งมีประสิทธิภาพทีดีขึ้นกว่าเดิมถึง 30% รวมถึง GPU และการจัดสรรพลังก็ทำผลงานได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกัน และเมื่อผสานเข้ากับ RAM 8GB ชนิด DRR4 และหน่วยความจำ 256GB แบบ UFS 2.1 พร้อมขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจาก  AI engine 4th generation ที่มีความสามารถสูงขึ้นกว่าเดิมถึง 45% ทำให้ในภาพรวมเรื่องความแรง ความลื่นไหลนั้นหายห่วง  สามารถตอบทุกโจทย์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไปหรือเล่มเกมที่ต้องการประมวลผลหนัก ๆ ก็ตาม

สำหรับเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ให้มาครบถ้วนตามที่สมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปควรจะมี ส่วนในด้านการจับสัญญาณ GPS อยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจ ด้วย GPS แบบแบนด์คู่ L1+L5 ทำให้รับสัญญาณในมุมอับได้ดีขึ้น รวมถึงความแม่นยำที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

MULTIMEDIA & ENTERTAIN

Music Player มาพร้อมความสามารถครบเครื่อง เรียกว่าไม่แตกต่างจากแอป Music Player ยอดนิยมทั่ว ๆ ไป สำหรับจุดเด่นของตัว Music Player บน OPPO Reno 10x Zoom ก็คือกำลังขับและเทคโนโลยีเสียง Dolby Atmos รวมถึงการรองรับ Hi-Res AUDIO  จึงทำให้การรับชมคอนเทนต์ไม่ว่าจะผ่านลำโพงหรือผ่านหูฟังแบบมีสายและไร้สายนั้นเต็มอิ่มครบทุกอรรถรสอย่างแน่นอน

และจากการทดลองใช้งานจริงร่วมกับหูฟัง USB Type C ที่แถมมาในกล่อง ก็รู้สึกแปลกใจในทันที เพราะให้สุ้มเสียงดีกว่าที่คาดไว้ ทั้งเรื่องของคุณภาพและมิติของเสียง  ตรงนี้บอกเลยว่าน่าประทับใจมากครับ และนอกจากนี้ ใน Color OS 5.1 ขึ้นไป จะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า  Music Party ที่สามารถเปิดเพลงเดียวกันพร้อมกันได้หลายเครื่องอีกด้วย

 

VDO Player บน OPPO Reno 10x Zoom รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียด 4K ได้อย่างไหลลื่น แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น แถมด้วยหน้าจอแบบไร้ขอบ ไร้รอยบาก ทำให้มีพื้นที่หน้าจอแสดงผลต่อตัวเครื่องถึง 93.1% ทำให้การใช้งานด้านความบันเทิงนั้นโดดเด่นมาก ๆ เลยครับ

Game Test

ROV เกมแนว MOBA สุดฮิต สามารถลากเฟรมเรทสูง ๆ แบบยาว ๆ ไม่ว่าจะช่วงเดินเล่นชิล ๆ หรือยกพวกตะลุมบอนหมู่พร้อมเอฟเฟค Skill จากฮีโร่ที่ใส่กันแบบไม่ยั้ง รวมถึงครีปที่กำลังรอรับ Damage จำนวนมากก็ไม่มีอาการแลค หรือกระตุกให้เห็น ส่วน Asphalt 9 นั้นลื่นหัวแตกกันเลยทีเดียว

สำหรับ PUBG เกม Tactical-FPS สามมิติเต็มรูปแบบ ก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่ต้องการทรัพยากรขั้นสูง หากต้องการเล่นบนความละเอียดคมชัดระดับ HD พร้อมความลื่นไหล ซึ่งไม่มีปัญหากับ OPPO Reno 10x Zoom แต่อย่างใด เพราะสเปคนั้นจัดเต็มอยู่แล้ว เมื่อบวกกับ HyperBoost 2.0 ที่เป็นโหมดการเล่นเกมอันโดดเด่น จึงส่งผลให้ OPPO Reno 10x Zoom เป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบสนองในการเล่นเกมได้อย่างดีเยี่ยม ของยุคนี้อย่างแท้จริง

 

CAMERA & SAMPLE

กล้องด้านหลังสามตัว 48MP + 13MP (telephoto) + 8MP (wide angle) ขับเคลื่อนด้วย Hardweare ระดับท็อป เช่นเซ็นเซอร์ Sony IMX586 พร้อมระบบโฟกัส Laser/PDAF, และกันสั่น Dual OIS (EIS + OIS) และ AI อันชาญฉลาด

อีกทั้งยังมาพร้อมฟีเจอร์โดดเด่นมากมาย ทั้งการซูมแบบ 10x Hybrid Zoom, และรองรับการซูมสูงสุดที่ 60 เท่าในรูปแบบ 60x Digital Zoom, การถ่ายภาพมุมกว้าง 120 องศา, Ultra Night Mode 2.0, โหมด Color Dazzle, Artistic Portrait, AI beauty บันทึกวิดีโอ 4K ได้สูงสุดที่  60 fps พร้อมระบบบันทึกเสียง Audio Focus ซึ่งใช้ไมโครโฟนสามตัวจากโทรศัพท์ เพื่อบันทึกเสียงรอบข้างได้แบบ 360°

ส่วนกล้องหน้าจะมีไฮไลท์ที่ AI Beauty แบบล่าสุด สามารถรองรับการจดจำใบหน้าของบุคคลและแก้ไขสีผิวได้อัตโนมัติ ซึ่งสามารถเรียนรู้และปรับแต่งภาพเซลฟี่ให้ออกมาสวยงามเป็นธรรมชาติ พร้อมจำแนก เพศ อายุ และสีผิวได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

User Interface หรือหน้าเมนูกล้องออกแบบเน้นที่ความเรียบง่ายสะอาดตา การเข้าถึงฟังก์ชั่นต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยประกอบไปด้วย การเปิด/ปิดไฟแฟลช, HDR Mode, โหมดถ่ายภาพมุมกว้าง (Wide-Angle),  Dazzle Color Mode, ฟีลเตอร์, และการตั้งค่าหลักของกล้อง

โหมดการถ่ายภาพหลักประกอบไปด้วย วีดีโอ, รูปถ่าย รูปคน (Portrait) เมื่อแตะที่ 3 ขีดมุมซ้ายจะเข้าสู่โหมดการถ่ายเพิ่มเติม ประกอบไปได้วย โหมดกลางคืน, พาโน, ผู้เชี่ยวชาญ, ไทม์แลปส์, สโลว์โมชั่น และ Google Lens

สำหรับ AI Beauty สามารถเรียนรู้และปรับแต่งภาพเซลฟี่ให้ออกมาสวยงามเป็นธรรมชาติ ผู้ใช้งานยังสามารถปรับแต่งโครงสร้างใบหน้าได้อย่างยืดหยุ่น เช่นปรับให้ผิวขาวนวล ปรับสกินโทนของสีผิว ปรับให้ใบหน้าเรียวบาง, ปรับแต่งรูปทรงของกราม, ปรับให้ดวงตากลมโต, ดวงตาเรียวยาว, ปรับแต่งรูปแบบของจมูกและโครงสร้างใบหน้าแบบ 3D เป็นต้น ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การถ่ายเซลฟี่เป็นเรื่องสนุก และให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจแก่ผู้ใช้งานได้มากที่สุดนั่นเอง

 

ทดสอบกล้องหน้าในโหมด Auto โดยยังไม่เปิดใช้งาน AI Beauty ภาพที่ได้ให้ความคมชัดที่ดี และสกินโทนก็ก็ดูเป็นธรรมชาติไม่หลอกตาแต่อย่างใด และรูปนี้ยังเป็นการถ่ายย้อนแสงอีกด้วย แต่ก็ยังเก็บดีเทลของพื้นหลังอย่างท้องฟ้าไว้ได้ ตรงนี้ต้องยกความดีให้ AI HDR ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าการถ่ายเซลฟี่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีในทุก ๆ สถานการณ์

เมื่อลองเปิดใช้งาน AI Beauty ภาพที่ได้ดูสวยงามขึ้นแบบสัมผัสได้ ทั้งในส่วนของโครงสร้างของใบหน้าและสกินโทนที่ปรับแต่งให้มีความกระจ่างใสในแบบเป็นธรรมชาติ และเข้ากับใบหน้าของแต่ละบุคคลได้อย่างลงตัว

 

เก็บความประทับใจด้วยกล้องหลังความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล

รูปนี้ทดสอบด้วยการ Crop 100% ที่ 200×1500 พิกเซล ตัวภาพก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้ แต่หากเป็นกล้องที่มีความละเอียดต่ำ ก็จะสูญเสียรายละเอียดในภาพรวมออกไป ไม่สามารถนำมาใช้งานได้เหมือนในภาพตัวอย่างนี้

และอีกหนึ่งประโยชน์ของกล้องที่มีความละเอียดสูง ก็คือสามารถต่อยอดนำภาพไปใช้งานได้ยืดหยุ่น เช่นนำไปอัดขยายได้ภาพที่มีขนาดใหญ่และยังคงความคมชัดไว้ได้นั่นเอง

 

ภาพมุมกว้าง (Wide-Angle)

Namal Mode ที่ระยะปรกติ 1x

เปิดใช้งาน Wide-Angle ที่มีมุมมองกว้างเป็นพิเศษถึง 120 องศา ทำให้สามารถเก็บภาพวิวทิวทัศน์ หรือภาพหมู่คณะผองเพื่อนได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นอีกต่อไป

 

ทดสอบการถ่ายภาพในระยะต่าง ๆ

โหมดถ่ายภาพมุมกว้าง (Wide-Angle)

Namal Mode ที่ระยะปรกติ 1x

ซูม 2x

ซูม 6x

ซูม 10x  Hybrid Zoom ที่ยังคงรักษาความคมชัดไว้ได้ค่อนข้างน่าประทับใจมาก และด้วยระยะซูมที่ครอบคลุมต่อการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน เช่นการรับชมกีฬา คอนเสิรต์ หรือถ่ายภาพธรรมชาติที่ต้องการกำลังซูมสูง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่องนกหรือสัตว์ป่าเป็นต้น เรียกว่ามี OPPO Reno 10x Zoom เครื่องเดียวสามารถพกไปท่องเที่ยวได้ทั่วโลก ไม่ต้องแบกกล้องใหญ่ให้เหนื่อยอีกต่อไป

และรองรับการซูมสูงสุดที่ 60 เท่าในรูปแบบ 60x Digital Zoom ซึ่งประโยชน์ของการซูมได้ 60 เท่า ทำให้เราสามารถมองเห็นในสิ่งที่ตาเปล่าของมนุษย์ทำไม่ได้ เช่นรูปนี้ ถ้าเรามองดูด้วยตาปรกติ จะมองไม่เห็นรายละเอียดที่อยู่ไกลมาก ๆ เช่นหน้าต่างของอาคาร จานดาวเทียม และรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนสะพาน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งพัฒการด้านการถ่ายภาพของ OPPO ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น

 

ทดสอบชุดที่ 2

ซูม 6x

ซูม 10x  Hybrid Zoom

60x Digital Zoom

 

ทดสอบถ่ายภาพบุคคลด้วยกล้องหลัง

โหมด Auto

โหมด Portrait ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กล้องหน้า สามารถเก็บดีเทล พวกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ  อย่างเช่นปรอยผม หรือพวกเส้นขอบของเสื้อผ้าได้ค่อนข้างดีอีกด้วย  แถมวัตถุที่อยู่ในระนาบเดียวกับตัวบุคคลก็สามารถคงรายละเอียดไว้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

มี AI Beauty และ Artistic Portrait ให้ใช้งานเหมือนกล้องหน้า ทำให้สามารถเลือกใช้ฟิลเตอร์ เพื่อปรับแต่งให้โบเก้และสกินโทนของภาพออกมาตรงใจกับผู้ใช้งานได้มากที่สุด

 

Dazzle Color Mode 2.0

Dazzle Color Mode เป็นโหมดที่ AI engines ระบุฉากเฉพาะ จากนั้นจะใช้อัลกอริธึมของ color-mapping ในระดับพิกเซล ในการคืนค่าสีและความสว่าง เพื่อให้ได้ภาพดูเป็นธรรมชาติ มีสีสันที่ถูกต้อง โดยโหมด Dazzle Color Mode จะมีประโยชน์อย่างมาก เพราะสามารถใช้งานได้ในทุกสภาพแสง ไม่ว่าจะเป็นกลางแจ้ง ในที่แสงน้อย หรือร้านอาหารที่มักใช้แสงสีเหลืองเป็นต้น

 

Ultra Night Mode 2.0

Auto Mode

Ultra Night Mode 2.0

Auto Mode

Ultra Night Mode 2.0

สำหรับ Ultra Night Mode 2.0 หรือโหมดกลางคืนบน Reno series จะใช้ความสามารถจาก AI HDR และ MNFR เพื่อทำการลด Noise ลดการสั่นไหว และเพิ่มประสิทธิภาพแบบ low-high และช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้น ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีความสว่างคมชัด โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องแต่อย่างใด นอกจากนี้ Ultra Night Mode 2.0 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์  face protection เมื่อคุณถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืน  โดยจะทำการแยกใบหน้าคนออกจากพื้นหลังโดยอัติโนมัติ และให้ protection แบบพิเศษ เพื่อทำให้ได้สีผิวที่ดูเป็นธรรมชาติ

 

จากนี้ไปดูภาพรวม ๆ จากกล้อง OPPO Reno 10x Zoom ในสภาพแสงต่าง ๆ

 

สรุป OPPO Reno 10x Zoom

ที่ผ่านมาเราอาจจะคุ้นเคยกับซีรีส์ Find ที่ถือว่าเป็นแฟลกชิปของค่าย OPPO มาอย่างยาวนาน สำหรับการมาของ Reno Series นั้นไม่ได้มาแทนที่ซีรีย์ Find แต่จะเป็นการเข้ามาเติมเต็มในตลาดกลุ่มพรีเมี่ยม ซึ่ง Reno Series วางตำแหน่งของซีรีส์นี้ในตลาดพรีเมี่ยมและเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรม ที่พร้อมนำเสนอความล้ำสมัยของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นกล้องหน้า Pivot Rising Camera,  กล้อง Triple Camera 3 เลนส์รุ่นแรกของทางค่ายที่ซูมได้ไกลถึง 60 เท่า ซึ่งเป็นการเลือกใช้ Hardware ชั้นเยี่ยมผสานด้วยฟีเจอร์อันทรงพลัง

เมื่อรวมกับหลาย ๆ จุดเด่นที่ให้มาแบบไม่มีกั๊ก ทั้งชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด Snapdragon 855 แรมภายในตัวเครื่อง 8GB และหน่วยความจำ 256GB ชนิด UFS 2.1 , ระบบเสียง Dolby Atmos พร้อมลำโพงคู่สเตอริโอ, ฟีเจอร์ชาร์จเร็ว VOOC Flash Charge 3.0 และระบายความร้อนแบบใหม่ cooling technologies ถึง 3 ชั้นทำให้เครื่องไม่ร้อนในขณะใช้งานหรือชาร์จแบต  แถมยังเด่นด้วย Software ที่ตอบโจทย์การใช้งานและการเล่นเกมได้อย่างเต็มเปี่ยมประสิทธิภาพ

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ ส่งผลให้ OPPO Reno 10x Zoom ก้าวขึ้นมาเป็นสมาร์ทโฟน พรีเมี่ยม ได้เต็มภาคภูมิ ซึ่งเมื่อมองในภาพรวมแล้ว ต้องบอกเลยว่า OPPO Reno 10x Zoom นั้นเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องครบครัน เด่นรอบด้าน พร้อมตอบทุกโจทย์การใช้งานในยุคนี้ได้สมบูรณ์ลงตัว ใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนพรีเมี่ยม ดีไซน์สวย เครื่องแรง กล้องเด่นทั้งหน้า/หลัง สเปคจัดเต็ม ตอบโจทย์การเล่นเกมในระดับมืออาชีพ  OPPO Reno 10x Zoom เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามครับ

 

OPPO Reno Series เปิดตัวแล้ว สี ได้แก่ สี Ocean Green อันเป็นเฉดสีของลำแสงที่ผสมผสานกับสีเขียวของน้ำทะเลเมื่อยามที่จ้องมองพื้นผิวของทะเล และสี Jet Black สีดำที่ผสมผสานด้วยสีเทาและสีน้ำเงินอย่างลงตัว พร้อมวางจำหน่ายทั่วประเทศอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายนเป็นต้นไป  OPPO Brand Shop ทุกสาขาและผู้จัดจำหน่ายทั่วประเทศ

Facebook Comments

Related Posts