OPPO พร้อมตอกย้ำความสำเร็จให้กับ “OPPO Reno2 Series” สุดยอดสมาร์ทโฟนที่มาพร้อม “4 กล้องหลัง ชัดทุกระยะ สวยทุกมุมมอง” ด้วยการเปิดตัวสีใหม่ล่าสุด Nebula Green Limited Edition ที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากแสงเหนือหรือแสงออโรร่า ที่สะท้อนถึงความงามด้วยการผสานสีเขียวและสีม่วงเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ลงตัว ซึ่งเปรียบเสมือนความงามที่ชวนให้ค้นหาเหมือนดั่งเช่นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความสวยงามตระการตาไปทั่วท้องฟ้าของแสงเหนือนั่นเอง
ในส่วนของแพ็กเกจจิ้งรวมถึงอุปกรณ์ภายในกล่องจะยังคงเป็นชุดมาตรฐานเหมือนกับสี Sky White และ Lake Green ทุกประการ
Design & New Colour
OPPO Reno2 F ยังคงประสิทธิภาพในเรื่
OPPO Reno2 F สีใหม่ล่าสุด Nebula Green Limited Edition เป็นดีไซน์ที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจาก “แสงเหนือ” หรือที่เรารู้จักและคุ้นหูกันในอีกชื่อก็คือ “ออโรร่า” โดยเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความสวยงามตระการตาไปทั่วท้องฟ้า ซึ่งตัวเครื่อง OPPO Reno2 F สีใหม่ Nebula Green มีการไล่โทนเฉดสีจากสีเขียวมายังสีม่วงได้อย่างนุ่มนวล เป็นการผสานเข้ากันทั้งของทั้งสองสีได้อย่างเป็นธรรมชาติ เปรียบเสมือนแสงจากท้องฟ้าและหมู่ดาวของแสงเหนือนั่นเอง
สำหรับ OPPO Reno2 F สีใหม่ล่าสุด Nebula Green Limited Edition ได้ผ่านกระบวนการคิดและการผลิตอย่างพิถีพิถันในการเลือกเฉดสี มาผสานวิธีการผลิตที่ได้นำเทคโนโลยีการเคลือบสีขั้นสูงแบบนาโนสองชั้นมาใช้ จนก่อเกิดเอฟเฟกต์การไล่เฉดสีเขียวและสีม่วง ที่เสมือนแสงเหนือ หรือแสงออโรร่าในธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ลงตัว
ด้านหลังของตัวเครื่องยังออกแบบมาให้เกิดความเงาพิเศษ ยามเมื่อมีแสงตกกระทบ โดยวัสดุของตัวฝาหลังผลิตจากกระจกกันรอย CORNING® GORILLA® GLASS รุ่น 5 ที่มีความแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ อีกทั้งยังได้มีการเคลือบเงากระจกที่ครอบกล้องในระดับนาโน เมื่อผสานกับฝาหลังและกระจกโค้งแบบ 3 มิติ ที่ออกแบบได้ตามหลัก Ergonomics จึงทำให้กับจับถือนั้นมีความถนัด กระชับเข้ากับสรีระของฝ่ามือของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี
โดดเด่นด้วย “4 กล้องหลัง ชัดทุกระยะ สวยทุกมุมมอง”
OPPO Reno2 F ยังคงโดดเด่นด้านการถ่ายภาพด้วย “4 กล้องหลัง ชัดทุกระยะ สวยทุกมุมมอง” และตอบโจทย์หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการการถ่ายเซลฟี่เป็นชีวิตจิตใจ ด้วยกล้องหน้า Rising Camera ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์ AI Beauty ประกันความสวยใส สมจริงในทุกสภาพแสง
ภาพตัวอย่างจากกล้องหน้า OPPO Reno2 F
Auto Mode
ทดสอบกล้องหน้าในโหมด Auto โดยยังไม่เปิดใช้งาน AI Beauty ภาพที่ได้ให้ความคมชัดที่ดี และสกินโทนก็ก็ดูเป็นธรรมชาติไม่หลอกตาแต่อย่างใด และรูปนี้ยังเป็นการถ่ายย้อนแสงอีกด้วย แต่ก็ยังเก็บดีเทลของพื้นหลังอย่างท้องฟ้าไว้ได้ ตรงนี้ต้องยกความดีให้ AI HDR ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าการถ่ายเซลฟี่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีในทุก ๆ สถานการณ์
โหมด Portrait หน้าชัดหลังละลายด้วย Bokeh Effect ที่ปรับแต่งได้อย่างยืดหยุ่น
การละลายฉากหลังทำได้ละมุนดูเป็นธรรมชาติ และยังเก็บดีเทลพวกเส้นขอบได้ค่อนข้างดีอีกด้วย ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกการละลายฉากหลังได้เอง โดยเลือกระดับการเบลอได้ตั้งแต่ 1- 100 ซึ่งสามารถประยุกต์ปรับใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ เช่นพื้นหลังโล่งหรืออยู่ในระยะห่างจากตัวแบบก็เลือกการเบลอที่ไม่ต้องสูงมาก เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมชาตินั่นเอง
เปรียบเทียบเมื่อเปิดใช้งาน Bokeh Effect (รูปขวา Auto mode รูปซ้าย Portrait)
AI Beauty
เมื่อลองเปิดใช้งาน AI Beauty ภาพที่ได้ดูสวยงามขึ้นแบบสัมผัสได้ โดย AI จะวิเคราะห์พร้อมปรับปรุงทั้งในส่วนของโครงสร้างของใบหน้าและสกินโทนที่ปรับแต่งให้มีความกระจ่างใสในแบบเป็นธรรมชาติ และเข้ากับใบหน้าของแต่ละบุคคลได้อย่างลงตัว
OPPO Reno2 F มาพร้อมกล้องหลัง 4 เลนส์ Quad Camera พร้อมไฟแฟลช LED รองรับระยะโฟกัสได้เต็มรูปแบบ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- กล้องหลัก Main Camera ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ขนาด 1/2.3 และรูรับแสง f/1.79
- กล้องตัวที่ 2 เลนส์ Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2 และเก็บภาพกว้างสุด 119 องศา
- กล้องตัวที่ 3 เลนส์ Mono ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.2
- กล้องตัวที่ 4 เลนส์ Portrait ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4
Auto mode
กล้องหลัง 4 เลนส์ คมชัดความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล มาพร้อมโหมดการถ่ายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Portrait, Night, PANO, Expert, Time-Lapse, Slo-Mo, Sticker, Google Lens
Portrait mode
โหมด Portrait ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กล้องหน้า สามารถเก็บดีเทล พวกรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นปอยผม หรือพวกเส้นขอบของเสื้อผ้าได้ค่อนข้างดีอีกด้วย แถมวัตถุที่อยู่ในระนาบเดียวกับตัวบุคคลก็สามารถคงรายละเอียดไว้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เปรียบเทียบเมื่อเปิดใช้งาน Bokeh Effect (รูปขวา Auto mode รูปซ้าย Portrait)
AI Beauty
มี AI Beauty ให้ใช้งานเหมือนกล้องหน้า และสามารถเลือกใช้ฟิลเตอร์ เพื่อปรับแต่งให้โบเก้และสกินโทนของภาพออกมาตรงใจกับผู้ใช้งานได้มากที่สุด
Dazzle Color Mode
Dazzle Color Mode Off
Dazzle Color Mode On
สำหรับ Dazzle Color Mode เป็นโหมดที่ AI engines ระบุฉากเฉพาะ จากนั้นจะใช้อัลกอริทึมของ color-mapping ในระดับพิกเซลในการคืนค่าสีและความสว่าง เพื่อให้ได้ภาพดูเป็นธรรมชาติ มีสีสันที่ถูกต้อง โดยโหมด Dazzle Color Mode จะมีประโยชน์อย่างมาก เพราะสามารถใช้งานได้ในทุกสภาพแสง ไม่ว่าจะเป็นกลางแจ้ง ในที่แสงน้อย หรือร้านอาหารที่มักใช้แสงสีเหลืองเป็นต้น
Ultra Wide Angle
Ultra Wide Angle off
Ultra Wide Angle On
โหมด Ultra Wide Angle ถ่ายภาพมุมกว้างได้ถึง 119 องศา ช่วยให้เก็บองค์ประกอบของภาพได้มากยิ่งขึ้นแม้ในพื้นที่จำกัด ทำให้สามารถถ่ายวิวทิวทัศน์ในมุมมองที่กว้างขึ้น ไม่ต้องถอยไกล รวมถึงสามารถเก็บภาพถ่ายแบบหมู่คณะผองเพื่อนได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นอีกต่อไป นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับการถ่ายวิดีโอได้ด้วย ทำใหผู้ใช้สามารถสร้างผลงานวิดีโออันยอดเยี่ยมที่แสดง
เปรียบเทียบเมื่อเปิดใช้งาน Ultra Wide Angle On (รูปบน Auto mode รูปล่างเปิดใช้ Ultra Wide Angle On )
Ultra Night Mode 2.0
Ultra Night Mode 2.0 Off
Ultra Night Mode 2.0 On
สำหรับ Ultra Night Mode 2.0 หรือโหมดกลางคืนบน Reno series จะใช้ความสามารถจาก AI HDR และ MNFR เพื่อทำการลด Noise ลดการสั่นไหว และเพิ่มประสิทธิภาพแบบ low-high และช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้น ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมามีความสว่างคมชัด โดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องแต่อย่างใด นอกจากนี้ Ultra Night Mode 2.0 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ face protection เมื่อคุณถ่ายภาพบุคคลในเวลากลางคืน โดยจะทำการแยกใบหน้าคนออกจากพื้นหลังโดยอัติโนมัติ และให้ protection แบบพิเศษ เพื่อทำให้ได้สีผิวที่ดูเป็นธรรมชาติ
เปรียบเทียบเมื่อเปิดใช้งาน Ultra Night Mode 2.0 (รูปขวา Auto mode รูปซ้าย Ultra Night Mode 2.0)
ประสิทธิภาพ
OPPO Reno2 F ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ต MediaTek Helio P70 ที่ทำงานร่วมกับ RAM 8GB ROM 128GB มาพร้อมกับระบบ Android 9 ทำให้ใช้งานได้อย่างไหลลื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานแอปพลิ
VOOC Flash Charge 3.0
OPPO Reno2 F มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ความจุสูง 4,000 mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จไวแบบ VOOC Flash Charge 3.0 ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้จาก 0-51% โดยใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น ซึ่งจากการใช้งานจริงในภาพรวม OPPO Reno2 F มีแบตสุดอึดน่าประทับใจ สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน เช่น ดูวิดีโอได้นานถึง 13 ชม. หรือเล่นเกมส์ได้ต่อเนื่องถึง 8 ชม.อีกด้วย
รวมทั้งยังมีระบบความปลอดภัยแบบ 5 ขั้นตอน ตั้งแต่อุปกรณ์ที่ชาร์จไปจนถึงแบตเตอรี่ที่อยู่ภายในสมาร์ทโฟน สามารถเล่นเกมไปพร้อมกับการชาร์จได้โดยที่ตัวเครื่องไม่ร้อนอีกด้วย ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าสมาร์ทโฟนจะมีความปลอดภัยตลอดระยะเวลาการชาร์จอีกด้วย
สรุป OPPO Reno2 F สีใหม่ล่าสุด Nebula Green Limited Edition
ถ้าหากรู้สึกว่า OPPO Reno2 F สี Sky White และ Lake Green ดูจะให้ฟิลลิ่งที่เรียบขรึมไปสักนิด การมาของสีใหม่อย่าง Nebula Green จึงเป็นการเข้ามาเติมเต็มให้กับ OPPO Reno2 F ได้อย่างลงตัว ซึ่งเมื่อแรกสัมผัสลองจับตัวเครื่องที่มาพร้อมสีใหม่ ต้องบอกเลยว่าสี Nebula Green Limited Edition นั้นสวยสะกดทุกสายตาจริง ๆ เพราะออกแบบได้เข้าถึงอารมณ์ของแสงเหนือ มีความพลิ้วไหวของเส้นสาย ยามเมื่อแสงตกกระทบ พร้อมให้อารมณ์ลึกลับสวยงามชวนค้นหา อีกทั้งยังมีความลงตัวของการผสานสองสีเข้าด้วยกันได้อย่างตระการตา ไม่ต่างจากกระแสความนิยมของแสงเหนือที่ผู้คนหลากหลายต้องการไปสัมผัสสักครั้งหนึ่งของชีวิตนั่นเอง
สรุปส่งท้าย OPPO Reno2 F สีใหม่ Nebula Green Limited Edition” นี่คือสมาร์ทโฟนที่ออกแบบได้สวยงามลงตัวที่สุดของชั่วโมงนี้อย่างแท้จริง
Pre Order “OPPO Reno2 F Nebula Green Limited Edition”
เป็นเจ้าของ OPPO Reno2 F Limited Edition สี Nebula Green ในราคาที่น่ารักเหมือนเดิม เพียง 11,990 บาท พร้อมเปิดจองแล้วตั้งแต่วันที่ 8 – 15 พฤศจิกายน ศกนี้ และรับฟรี Special gift จาก OPPO มูลค่า 4,799 บาท
สำหรับลูกค้าที่ทำการจอง OPPO Reno2 F Limited Edition สี Nebula Green จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 พฤศจิกายนเป็นต้นไป ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/oppothai/
#OPPOReno2Series #OPPOReno2F #4กล้องหลังชัดทุกระยะสวยทุกมุมมอง