เลือกอะไรดีระหว่าง Home Theater กับ Sound Bar ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าเทคโนโลยีของ Sound Bar ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีพัฒนาการที่โดดเด่นมาก ๆ โดยรองรับเทคโนโลยีเสียงในปัจจุบันได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น DOLBY ATMOS, DTSX, DOLBY SUUROUND ฯลฯ แถมบางรุ่นยังถูกออกแบบให้ถอดชิ้นส่วนออกมาเพื่อทำระบบ Surround 5.1 ชาแนลในรูปแบบ Hardware ได้อีกด้วย เช่น JBL BAR5.1 เป็นต้น https://bit.ly/3gVdwU0 ส่วน Home Theater ยังคงครองใจนักเล่นเครื่องเสียง ที่ต้องการความสุดในการดูหนังฟังเพลง และพร้อมรองรับการอัพเกรดรวมถึงจับคู่ตัว AVR ให้เข้ากับลำโพงที่ชื่นชอบได้ตามความต้องการและงบประมาณที่วางไว้
จากประสบการณ์ส่วนตัว เคยใช้ Sound Bar มา 5 รุ่น 3 ยี่ห้อ การดูหนังฟังเพลง ในห้องหรือพื้นที่ที่ค่อนข้างจำกัด คุณภาพเสียงที่ได้ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจ และในปี 2021 มีความตั้งใจอยากจะเปลี่ยน Sound Bar รุ่นใหม่ ที่รองรับระบบเสียง Dolby Vision, Dolby Atmos, DTSX, DOLBY SUUROUND ฯลฯ เพื่อรับชม Netflix, Disney + ได้เต็มอรรถรสยิ่งขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อยากลอง Home Theater สักครั้ง เพื่อจะได้เปรียบเทียบกันว่า ซิสเต็มไหนเหมาะกับเราที่สุด
มาพูดถึงข้อดีของ Sound Bar กันก่อน ในภาพรวมต้องบอกว่า Sound Bar มีความเป็นมิตรกับผู้ใช้งานมากกว่า Home Theater เพราะด้วยความง่ายในการติดตั้ง และใช้พื้นที่ไม่เยอะ ถึงแม้จะไม่มีความรู้ทางด้านเครื่องเสียงก็สามารถติดตั้งรวมถึงตั้งค่าพื้นฐานได้เอง
ในด้านระบบเสียง ด้วยข้อจำกัดจึงต้องใช้การจำลองและปรับแต่งเสียงให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เช่นอาศัยการสะท้อนผนังหรือเพดานเพื่อช่วยให้เกิดรูปแบบเสียงตามมาตรฐานของภาพยนต์นั้น ๆ
การอัพเกรด บางรุ่นสามารถเพิ่มจากระบบ 2.1 / 3.1 ชาแนล มาเป็น 5.1 หรือ 7.2 ได้ แต่ในภาพรวมยังเป็นรอง Home Theater ที่สามารถอัพเกรดได้ตั้งแต่ตัวลำโพง ไปยันสายไฟ
สรุป หากชอบความง่ายในการติดตั้งใช้งาน และใช้งานในพื้นที่ไม่กว้างมาก Sound Bar รุ่นใหม่ ๆ ตอบโจทย์การดูหนังฟังเพลงในยุคนี้ได้สบาย ๆ
สำหรับ Home Theater ในปัจจุบันสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น เพราะมีวางจำหน่ายแบบ Home Theater Package นั่นเอง โดยขออธิบายสั้น ๆ ชุด Home Theater Package จะมีลำโพง สายไฟและอุปกรณ์มาตรฐานมาให้ครบถ้วน สามารถติดตั้งและใช้งานได้ทันที ซึ่งราคา ณ ปัจจุบันก็จับต้องได้ง่าย ไม่โหดร้ายและเข้าถึงได้เฉพาะบางกลุ่มเหมือนในยุคก่อน ๆ เรียกว่ามีให้เลือกตั้งแต่ระดับหลักพันไปยันหมื่นต้น ๆ
ข้อดีของ Home Theater คือความยืดหยุ่น ในด้านการใช้งานและอัพเกรด ซึ่งหากพอมีความรู้ด้านเครื่องเสียง ก็จะสามารถรีดประสิทธิภาพของ Home Theater ออกมาได้เต็มที่ แต่จริง ๆ แล้ว ต่อให้ไม่มีความรู้ก็สามารถเข้าไปอ่านคู่มือฉบับละเอียดของ Home Theater รุ่นนั้น ๆ รวมถึงความรู้ในเว็บบอร์ดเครื่องเสียงที่มีทั้งในและต่างประเทศได้เช่นกัน
ความรู้สึกแรกสัมผัส Home Theater ที่แตกต่างจาก Sound Bar ก็คือในเรื่องของ “มิติเสียง ความสมจริง” โดยการจัดชุดลำโพง 5.1 ชาแนล ในแบบพื้นฐานเริ่มต้น จะให้ความโอบล้อม และรับรู้ถึงเสียงต่าง ๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัว ซึ่งให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก Sound Bar แบบสัมผัสได้จริง และแน่นอน หากจูนเสียงได้เหมาะกับห้อง เช่นระยะห่างของลำโพง, ความดัง, crossover ฯลฯ ก็จะยิ่งรีดประประสิทธิภาพออกมาได้แบบสุด ๆ
ในด้านการเชื่อมต่อและอัพเกรด นั้นทำได้ดีกว่า Sound Bar โดย Home Theater จะมาพร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น HDMI, AUX, Phones, USB, Coaxial, Pre Out และอื่น ๆ (ในบางรุ่น) ถ้าที่บ้านมี PS5, Xbox , Android TV, Apple TV, DVD Blu-ray ก็สามารถใช้งานร่วมกับ AVR ได้อย่างสะดวกคล่องตัว แถมยังสามารถอัพเกรดสายลำโพงเพื่อเพิ่มคุณภาพเสียง หรือจะเปลี่ยนชุดลำโพงตามแนวเสียงที่ชื่นชอบก็ย่อมได้ เรียกว่ามีความยืดหยุ่นที่ดีกว่า Sound Bar ชัดเจน
สรุป ชอบความสมจริง มีมิติ และให้ความยืดหยุ่น รวมถึงอยากสัมผัสอรรถรสเสมือนไปดูในโรงหนัง Home Theater คือคำตอบ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเรื่องของการปรับแต่งจูนเสียง การจัดวางลำโพง และงบประมาณที่ค่อนข้างสูง หากต้องการฟีเจอร์และความสุดของทั้งตัว AVR + ลำโพง ( ยกตัวอย่าง Home Theater ระดับกลางที่ได้ฟีเจอร์ครบถ้วน รวมถึงคุณภาพเสียงที่พร้อมตอบโจทย์ในการดูหนังฟังเพลง อาจจะต้องใช้งบประมาณเริ่มต้นที่ 45,xxx – 55,xxx เลยทีเดียว)
แต่ถ้าอยากลองสัมผัส Home Theater ระดับเริ่มต้นเพื่อไม่ให้เจ็บตัวมากนัก ในปัจจุบัน Home Theater Package ระดับหมื่นกลาง ๆ สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในระดับน่าพึงพอใจ ซึ่งถ้าหากในอนาคตเกิดชื่นชอบซิสเต็มนี้ขึ้นมาจริง ๆ ค่อยอัพเกรดไปยังรุ่นที่สูงขึ้นก็ถือว่าไม่สายเกินไปครับ