รีวิว Fitbit Charge 4 ฟิตเนสแทรคเกอร์ Minor Change อัพเกรด GPS แบบ Bult-In พร้อมฟีเจอร์จัดเต็ม ในราคาเดิม!!!

โดย J.wasan
0 ความเห็น 2K views

ฟิตบิทเปิดตัว Fitbit Charge 4 ฟิตเนสแทรคเกอร์ ซีรีส์ Charge รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ต้องบอกเลยว่าเป็นรุ่น Minor Change ต่อยอดจาก Charge 3 นั่นเอง โดย Fitbit Charge 4 มาพร้อมการอัพเกรดทางด้าน Hardware และฟังก์ชั่นใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมากมาย ทั้งการเพิ่ม GPS แบบ Bult-In ทำให้ไม่ต้องพึงพาการเชื่อมต่อกับมือถือ แต่ยังสามารถเก็บสถิติการออกกำลังกายได้แบบเรียลไทม์ และฟังก์ชั่นใหม่ Active Zone Minutes ฟีเจอร์การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ พร้อมเปรียบเทียบกับอายุ เพื่อตอบสนองทุกกิจกรรมของผู้ใช้อย่างลงตัว  ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ยังคงจัดเต็มเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นการรองรับการกันน้ำ Water-resistance ในระดับ 5 ATM กันน้ำลึกถึง 50 เมตร สามารถสวมใส่ขณะอาบน้ำ ตากฝน ว่ายน้ำในสระหรือทะเล, มาพร้อมหน้าจอระบบสัมผัส โหมดออกกำลังตามเป้าที่มีให้เลือกมากกว่า 20 รูปแบบ และอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 7 วัน รวมทั้งระบบเซ็นเซอร์ relative SpO2 Sensor ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ (SpO2) ที่สามารถนำไปใช้ติดตามปัจจัยที่รบกวนการนอนได้เป็นต้น

 

แพกเกจจิ้งยังเหมือนกับ Fitbit Charge 3 ทุกประการ ด้านหน้าโชว์รูปตัวเครื่อง Fitbit Charge 4 ขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดสะดุดตา สำหรับ Fitbit 4 ในรุ่นธรรมดา จะแถมสาย LARGE (สายขนาดยาว) มาให้อีก 1 เส้น ส่วนในรุ่น Special Edition จะมีสายผ้าถักมาให้ 1 ชุด ส่วนด้านข้างจะพิมพ์บอกฟีเจอร์เด่นที่เป็นไฮไลท์ ทั้ง GPS แบบในตัว, เทคโนโลยีติดตามการเต้นของหัวใจ PurePulse® ที่ทำงานตลอดเวลา 24/7,  Fitbit Pay, Sleep Score พร้อมอายุการใช้งานแบตเตอรีที่ยาวนานถึง 7 วันต่อการชาร์จเพียง 1 ครั้ง

อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย

  1. ตัวเรือน Fitbit Charge 4
  2. คู่มือการใช้งานฉบับย่อ + ใบรับประกันสินค้า
  3. สายซิลิโคนสำรอง ขนาดยาว
  4. ที่ชาร์จ USB แบบ dot หัวเข็ม

หัวชาร์จออกแบบในลักษณะของตัวหนีบ โดยร่องด้านในจะมีความพอดีกับชุดเซ็นเซอร์และพินชาร์จ เมื่อประกบเข้ากับสายรัดข้อมือแล้วจะเข้าล็อคและใช้ตัวหนีบช่วยประคองอีกทางหนึ่ง ช่วยให้การชาร์จเป็นไปในแบบราบลื่น แม้จะชาร์จในขณะเคลื่อนที่ก็ตาม

 

ด้านในของตัวกล่องจะมีการแนะนำการเชื่อมต่อครั้งแรกของ Fitbit Charge 4  กับสมาร์ตโฟน โดยผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอป Fitbit มาใช้งานร่วมกับ Fitbit Charge 4 ได้ทั้งบน iOS และ Android

 

จอแสดงผลชนิด OLED แบบโมโนโครม หน้าจอคมชัดและใหญ่กว่าเดิมเกือบ 40% เมื่อเทียบกับ Fitbit Charge  2 หน้าจอแสดงผลสามารถปรับความสว่างอัตโนมัติ มองเห็นได้ชัดเจนในทุกสภาพแสง ตัวจอรองรับทัชสกรีน และวัสดุเป็นกระจก Gorilla® Glass 3 ทนทานต่อรอยขีดข่วน

ในด้านดีไซน์ไม่ได้มีการปรับโฉมใหม่แต่อย่างใด โดยยังคงใช้ดีไซน์เดิมของตัว Charge 3 แถมที่ชาร์จยังสามารถใช้งานร่วมกันได้อีกด้วย สำหรับตัวเรือน ผลิตจากวัสดุอลูมิเมียม aerospace-grade เทคโนโลยีอากาศยานให้น้ำหนักเบา ส่วนสายยังเป็นสายซิลิโคนเหมือนเช่นเคย  ในภาพรวมการสวมใส่สบาย มีความกระชับ และวัสดุที่ใช้ ไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เหมาะกับการสวมใส่ออกกำลังกายและใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังรองรับการเปลี่ยนสายได้ง่าย ๆ และมีสายให้เลือกใช้งานมากมาย ทั้งสายหนังสุดหรู รวมไปถึงสายผ้าลายถักที่ดูพรีเมี่ยมไม่แพ้สายหนัง

ตัวปุ่มกด Fitbit Charge 4  เป็นปุ่มแบบเหนี่ยวนำ (inductive button) ที่ดูกลมกลืนสวยงาม แต่การกดจะให้ฟิลลิ่งที่แตกต่างจากปุ่มกดธรรมดาอยู่บ้าง โดยเมื่อกดแล้วจะสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนของตัวปุ่มกด

 

เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ให้ฟีเจอร์แบบจัดเต็ม ทั้งเซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ relative SpO2 Sensor นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ด้านสุขภาพที่จัดเต็มและครบครัน โดยฟิตบิทได้พัฒนาเทคโนโลยีติดตามการเต้นของหัวใจ PurePulse® ที่ทำงานตลอดเวลา 24/7 และเซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ (SpO2) ที่สามารถนำไปใช้ติดตามปัจจัยที่รบกวนการนอน ซึ่งอาจบ่งชี้ปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นต้น

 

เปลี่ยนสายได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ เพียงกดปุ่มที่อยู่กึ่งกลางของตัวเรือนและสายลงไปตรง ๆ ก็สามารถถอดเปลี่ยนสายได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

 

รองรับการกันน้ำ Water-resistance ในระดับ 5 ATM กันน้ำลึกถึง 50 เมตร สามารถใส่ได้ขณะอาบน้ำ ตากฝน ว่ายน้ำในสระหรือทะเล สามารถเช็คระยะเวลาแบบเรียลไทม์บนข้อมือได้ด้วยโหมดว่ายน้ำ (Swim Mode) หรือใช้ SmartTrack® ดูรอบและความเร็วหลังจากว่ายน้ำได้ด้วยแอปฯ ฟิตบิท

 

เปรียบเทียบ Fitbit Charge 3 (สีดำ) Fitbit Charge 4 (สี Rosewood ) ในด้านดีไซน์ มิติ ขนาด รวมถึงวัสดุ จะเหมือนกันทุกประการเลยครับ

รองรับการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม iOS และ Android ได้อย่างสมบูรณ์ การทำงานหรือการเซ็ตอัพไม่ได้ยุ่งยากหรือต่างไปจากอุปกรณ์รุ่นอื่น ๆ ของ Fitbit สามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งแล้วเซ็ตอัพตามคำแนะนำในแอปพลิเคชั่นได้เลยครับ

สามารถปรับแต่งหน้า Clock Faces  ของตัว Fitbit Charge 4 ผ่านทางสมาร์ทโฟน ซึ่งมี Clock Faces สวย ๆ ให้เลือกดาวน์โหลดมาให้ใช้งานมากมายหลากหลายรูปแบบ

 

การเรียกใช้งานผ่านระบบสัมผัสบนหน้าจอ เมื่อเราปัดจากด้านบนของหน้าจอแสดงผลลงมายังด้านล่าง จะเป็นการเข้าสู่หน้าการแจ้งเตือน Notification ซึ่งรองรับการแจ้งเตือนจากระบบ เช่นการโทร ข้อความ อีเมล ปฏิทิน และยังสามารถกำหนดการแจ้งเตือนสำหรับแอปพลิเคชั่นที่รองรับได้อีกด้วย แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย คือยังไม่รองรับภาษาไทยเหมือนเดิมครับ

การเรียกใช้งานผ่านระบบสัมผัสบนหน้าจอ เมื่อเราปัดจากด้านล่างของหน้าจอแสดงผลขึ้นมายังด้านบน จะเป็นการเข้าสู่หน้าการแสดงผลข้อมูลต่าง ๆ เช่นระดับแบตเตอรี่ จำนวนก้าวเดิน อัตราการเต้นของหัวใจ การเผาผลานแคลอรี่เป็นต้น

สำหรับปุ่ม inductive button ที่อยู่ฝั่งซ้ายของตัวเรือน จะทำหน้าที่เป็นปุ่ม Back หรือปุ่มย้อนกลับ ซึ่งเราสามารถกดค้างไว้ เพื่อเข้าสู่การตั้งค่าแบบด่วน โดยจะเป็นการตั้งค่า Payments หรือระบบการชำระเงินผ่าน NFC , การตั้งค่า, DND (Do not Disturb), Sleep, และ Screen Wake

ในส่วนของระบบ Fitbit Pay สามารถใช้งานในไทยได้เป็นที่เรียบร้อย แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ ณ ตอนนี้ยังรองรับบัตรเครดิตไม่มากนัก แต่บัตรหลัก ๆ อย่าง ธนาคารกสิกรไทย, บัตรกรุงไทย (KTC), ธนาคารกรุงเทพ และ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) รองรับแน่นอน ใครมีบัตรที่ว่าก็สามารถใช้งาน Fitbit Pay ได้เลย โดยครั้งแรกให้เข้าไปตั้งค่าความปลอดภัยในการใช้งานผ่าน Fitbit app พร้อมยืนยันตัวตนกับธนาคาร ซึ่งจะปกป้องความปลอดภัยด้วยรหัส PIN 4 หลัก ทำให้เวลาใช้งานจะมีความปลอดภัยและสะดวกคล่องตัวที่ดีมาก แค่แตะแล้วจ่ายได้ในทันที ซึ่งในปัจจุบัน Fitbit Pay สามารถใช้งานร่วมกับร้านอาหาร, ร้านค้า และการบริการต่าง ๆ ผ่านเครื่องชำระเงินที่มีสัญลักษณ์ชำระเงินแบบไรสาย ส่วนระบบขนส่งมวลชนยังไม่รองรับการใช้งานในประเทศไทยครับ

 

การเรียกใช้งานผ่านระบบสัมผัสบนหน้าจอ เมื่อเราปัดจากด้านขวาของหน้าจอแสดงผลไปยังฝั่งซ้าย จะเป็นการเข้าสู่โหมดการออกกำลังกาย โดยเลือกโหมดออกกำลังได้หลายประเภท เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ วิ่ง ยกน้ำหนักและโยคะ และสามารถตั้งเป้าการเผาผลาญแคลอรี ดูสถิติแบบเรียลไทม์ การพัฒนาและฉลองความสำเร็จได้จากตัวอุปกรณ์ เมื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ และ Fitbit Charge 4 เป็นแทรคเกอร์ตัวแรกจากฟิตบิทที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Spotify ได้ ซึ่งผู้ใช้สามารถฟังเพลย์ลิสต์โปรดระหว่างออกกำลังกาย โดยสามารถกดเลือกเพลง เปลี่ยนเพลง กดข้าม และยังกด Like เพลงจากข้อมือได้อีกด้วย 

ถัดจากโหมดออกกำลังกายจะเป็นโหมดนาฬิกา ที่ประกอบไปด้วย นาฬิกาจับเวลา นับถอยหลัง และนาฬิปลุก

โหมดสุดท้าย จะแสดงสภาพอากาศและโหมดการตั้งค่า โดยการตั้งค่าในโหมดนี้จะประกอบไปด้วย หน้าจอแสดงผล, การสั่น, เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, การแจ้งเตือน และ About

โหมดออกกำลังตามเป้าที่มีให้เลือกมากกว่า 20 รูปแบบ มาพร้อมฟีเจอร์ด้านสุขภาพแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นการนับก้าวเดิน จำนวนชั้นที่ขึ้นลง ปริมาณแคลลอรี่ที่เผาผลาญ วัดชีพจรตลอด 24 ชั่วโมง และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมการที่มาพร้อม GPS แบบในตัว จึงเพิ่มความสะดวกคล่องตัวในการออกกำลังกาย แม้จะไม่ได้พกพามือถือไปก็ตาม ก็ยังสามารถแทรคสถิติแบบเรียลไทม์แล้วค่อยมาซิงค์ข้อมูลกับสมาร์ตโฟนได้ในภายหลัง ก็ถือว่าตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายได้เป็นอย่างดีเลยครับ

 

โหมดการออกกำลังกายบน Fitbit Charge 4 สามารถแสดงผลได้อย่างละเอียดครบถ้วน รวมถึงแสดง Maps ในรูปแบบแผนที่ ที่เราได้ไปออกกำลังกายบนสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ชื่นชอบมาก “Sleep tracking” ที่สามารถแทร็กการนอนหลับ ได้ละเอียดมาก ๆ ทั้ง Awake, Light Sleep, Deep Sleep, REM 

ประโยชน์ของ Sleep tracking จะช่วยวิเคราะห์การนอนหลับ และรับคำแนะนำจาก Sleep Insights เพื่อช่วยประมวลผลและปรับปรุงคุณภาพในการนอน ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน

สรุป Fitbit Charge 4

ยังคงมาในดีไซน์เดิม ๆ และเปิดตัวด้วยราคาเดิมเช่นกัน แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือการอัพเกรดทางด้าน Hardware ที่ดีขึ้น รวมถึงการใส่ฟังก์ชั่นใหม่ ๆ เข้ามา เช่น Active Zone Minutes การคอนโทรล Spotify ได้โดยตรง ส่วนฟีเจอร์เดิมที่มีอยู่ใน Charge 3 ก็ไม่ได้ถูกตัดออกไปแต่อย่างใด ยังให้มาแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์กันน้ำลึกถึง 50 เมตร สามารถใส่ได้ขณะอาบน้ำ ตากฝน ว่ายน้ำในสระหรือทะเล และสามารถเช็คระยะเวลาแบบเรียลไทม์บนข้อมือได้ด้วยโหมดว่ายน้ำ (Swim Mode) หรือใช้ SmartTrack® ดูรอบและความเร็วหลังจากว่ายน้ำได้ด้วยแอปฯ, เซ็นเซอร์ตรวจวัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดสัมพัทธ์ (SpO2) ที่สามารถนำไปใช้ติดตามปัจจัยที่รบกวนการนอน ซึ่งอาจบ่งชี้ปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นต้น

สรุป Fitbit Charge 4 เป็นฟิตเนสแทรคเกอร์ที่ครบเครื่อง ในราคาจับต้องได้ มาพร้อมฟีเจอร์ล้ำ ๆ อัดแน่นพร้อมตอบโจทย์กลุ่มผู้รักสุขภาพทั้งหญิงชายได้อย่างลงตัว

Fitbit Charge 4 วางจำหน่ายแล้วอย่างเป็นทางการ บนร้านค้าออนไลน์ของตัวแทนจำหน่าย อาทิ B2S, Dotlife, Jaymart, King Power, Lazada, Power Buy, ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศูนย์การค้าโรบินสัน และศูนย์การค้าเดอะมอลล์ และเริ่มจำหน่ายในร้านค้าทั่วไปตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป 

Fitbit Charge 4 มาในสี Rosewood และสีดำ Storm Blue/black โดยราคาจำหน่ายอยู่ที่ 6,490 บาท และ Charge 4 Special Edition ซึ่งมาพร้อมกับสายข้อมือสีดำแกรนิต และสายสีดำแบบธรรมดา เหมาะสำหรับเปลี่ยนใช้งานหลากหลายโอกาส ในราคา 6,990 บาท

Facebook Comments

Related Posts