หลังจากประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับ Vivo V15/15 Pro ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดค่ายวีโว่ได้ส่ง Vivo V17 Pro มาสานต่อความความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมกล้องหน้าคู่ป็อปอัพเป็นรุ่นแรกของโลก รวมถึงอัพเกรดความสามารถและฟีเจอร์แบบจัดเต็มให้กับซีรีส์ V ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกล้อง 6 เลนส์ หน้าจอแสดงผลระดับไฮเอนด์ และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมายที่พร้อมตอบทุกโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานของคนหนุ่มสาวในยุคนี้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ค่ายวีโว่ยังได้ทำการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์แบบแพ็คคู่ ด้วยสองหนุ่มสุดฮอต Bambam และ Mark GOT7 อีกด้วย งานนี้ใครที่ชื่นชอบซีรีส์ V เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขอบอกเลยว่าจะตกหลุมรัก Vivo V17 Pro อย่างแน่นอน
สเปคเบื้องต้น Vivo V17 Pro
ขนาด | 159.00 × 74.70 × 9.80 มม. |
น้ำหนัก | 201.8 กรัม |
หน้าจอ | Ultra FullViewTM Display แบบ Super AMOLED ความละเอียด FHD+ 1080 x 2340 พิกเซล ขนาด 6.44 นิ้ว ในอัตราส่วน 20: 9 และมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องที่ 91.65% กระจกโค้ง 2.5D รองรับมาตรฐาน DCI-P3100% |
หน่วยประมวลผล | ชิปเซ็ท Qualcomm SDM675 Snapdragon 675 AIE (11 nm) หน่วยประมวลผล Octa-core (2×2.0 GHz Kryo 460 Gold & 6×1.7 GHz Kryo 460 Silver) หน่วยประมวลผลกราฟิก Adreno 612 |
RAM | 8GB |
หน่วยความจำภายในเครื่อง | 128GB |
microSD Card | – |
กล้องถ่ายภาพ | กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว AI Quad Camera ประกอบด้วย กล้องตัวที่หนึ่ง Super Wide-Angle Camera เลนส์มุมกว้างพิเศษ 120 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.2, เซ็นเซอร์ขนาด 1/4″, พิกเซลไซส์ 1.12µm ——————————— กล้องตัวที่สอง Main Camera ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล 26mm (wide), เซ็นเซอร์ Sony IMX 582 รูรับแสง f/1.8, , ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2″, พิกเซลไซส์ 0.8µm, ระบบโฟกัส PDAF ——————————— กล้องตัวสาม เลนส์ Depth sensor สำหรับการทำ Portrait และโบเก้ ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 ——————————— กล้องตัวที่สี่ ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, (Super Macro Camera) รูรับแสง f/2.4 สามารถถ่ายวัตถุได้ใกล้สุดถึง 4ซม. ——————————— กล้องหน้าคู่ป๊อปอัพกล้องหลักความละเอียด 32 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้าง f/2.0, (wide) กล้องตัวที่สอง 8 ล้านพิกเซล, 17mm มุมมองกว้างพิเศษ (Super Wide-Angle Camera) , รูรับแสงกว้าง f/2.2 |
ระบบปฏิบัติการ | Android 9.0 Pie ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1 |
เชื่อมต่อ | Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, dual-band, WiFi Direct, hotspot, Bluetooth 5.0, A2DP, LE, A-GPS, GLONASS, GALILEO, BDS, USB Type-C, USB On-The-Go |
รองรับระบบ | รูปแบบซิม 2 Nano SIM Dual SIM and Dual Standby2G GSM: B2/3/5/8 3G WCDMA: B1/5/8 4G FDD-LTE: B1/3/5/8 4G TDD-LTE: B40(4G และ 3G ทุกเครือข่ายในไทย) |
แบตเตอรี่ | 4100mAh รองรับชาร์จไว Fast battery charging 18W |
สี/ ราคา | Knight Black (ดำ) Crystal White (ขาว)ราคา 12,999 บาท |
บรรจุภัณฑ์ / อุปกรณ์ภายในกล่อง
รอบนี้ฉีกดีไซน์แพ็กเกจจิ้งไปจากเดิม โดยมาในโทนที่ดูสุขุมเรียบง่ายขึ้น ด้านหน้าโชว์ตัวเครื่องพร้อมจุดเด่นกล้องหน้าป๊อปอัพคู่รุ่นแรกของโลก และกล้องหลัง 4 เลนส์ พร้อมกำกับขนาดความจุ ROM/RAM ไว้มุมบนด้านขวาของตัวกล่อง สำหรับด้านหลังแปะไฮไลท์เด่นเหมือนด้านหน้า ด้วยกล้องหน้าหลัง รวมเป็น 6 เลนส์ที่โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่ง รวมถึงหน้าจอ Ultra FullViewTM Display ที่มาพร้อมอัตราส่วนใหม่ 20:9 ที่กำลังจะเป็นเทรนด์ยอดนิยมในอนาคตอันใกล้นี้
อุปกรณ์ภายในกล่องประกอบไปด้วย
- คู่มือการใช้งานฉบับย่อ + ใบรับประกันสินค้า
2. อุปกรณ์เปิดถาดซิมการ์ด
3. เคส (Hard Case)
4. สาย USB Type C + อแดปเตอร์ชารจ์ Output 5V-2A / 9V-2A
5. หูฟังสมอลทอร์ค
เคสที่แถมมาในกล่อง ถือว่าสวยใช้ได้เลยครับ โดยด้านหลังจะมีโลโก้ vivo พร้อมลวดลายเท็กเจอร์ที่ช่วยให้พื้นผิวดูมีมิติแถมยังป้องกันการลื่นได้อีกทางหนึ่งด้วย
รองรับเทคโนโลยีชาร์จไว Fast battery charging 18W และเป็นครั้งแรกของซีรีส์ V ที่มาพร้อมพอร์ต Type – C ซึ่งช่วยให้การชาร์จนั้นเร็วขึ้นอีกด้วย
รูปลักษณ์ดีไซน์ / การออกแบบ
ดีไซน์อาจจะไม่ได้ฉีกหนีไปจากรุ่นพี่ V15 Pro มากนัก แต่ด้านความเปลี่ยนแปลงนั้นสัมผัสได้ถึงความหรูหราพรีเมี่ยมที่เพิ่มขึ้นมา โดย Vivo V17 Pro เลือกใช้วัสดุกระจกแทนโพลีคาร์บอเนต ผสานเข้ากับหน้าจอแสดงผลที่ไร้ Notch ไร้รอยบาก จึงเป็นจอแสดงผลที่ไร้ขอบส่วนเกินอย่างแท้จริง แถม V17 Pro ยังมาพร้อมหน้าจอคุณภาพสูง โดยใช้พาเนลชนิด Super AMOLED ความละเอียด FHD+ 1080 x 2340 พิกเซล ขนาด 6.44 นิ้ว ในอัตราส่วน 20: 9 และมีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องสูงถึง 91.65% อีกทั้งยังรองรับมาตรฐาน DCI-P3 ที่แสดงขอบเขตสีได้เที่ยงตรงแม่นยำ 100%
Vivo V17 Pro วางเลย์เอาท์ของกล้องหลังไว้ตรงกลาง ซึ่งเป็นดีไซน์ในรูปแบบ Symmetry เน้นในเรื่องความสมมาตรและสุนทรียศาสตร์เข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ลงตัว ดีไซน์ในภาพรวม คงต้องบอกว่ากลับสู่ความเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยมนต์ขลังของความคลาสสิค ซึ่งปัจจุบันเราจะเห็นว่าเกือบทุกแบรนด์ จะเน้นในเรื่องของดีไซน์สีสันตัวเครื่องที่มีความซับซ้อน มีการใช้แสงเงา มุมตกกระทบที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันหลากหลาย แต่ Vivo V17 Pro เลือกใช้กระจกโปรงใสคุณภาพสูง จึงช่วยขับเน้นชั้นสีที่อยู่ภายใต้เลเยอร์ในรูปแบบที่เรียบง่าย สะท้อนถึงอารมณ์และบุคลิคอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ โดยสี Knight Black (สีดำ) นั้นสื่อถึงความเป็นอิสระ ที่เข้ากับสไตล์ของคนในยุคนี้ ส่วนสี Crystal White (ขาว) สื่อถึงความบริสุทธิ์ เรียบง่าย และเข้ากับทุกเพศทุกวัยได้อย่างลงตัว
สรุปในภาพรวม Vivo V17 Pro มีดีไซน์ที่คลาสสิค เน้นความเรียบง่าย แต่แฝงความหรูหราพรีเมี่ยมด้วยวัสดุชั้นเลิศ!
หน้าจอแสดงผลอัพเกรดขึ้นไปอีกขั้นของซีรีส์ V ด้วยพาเนล Super AMOLED โดยใช้วัสดุ E3 แบบใหม่ แสดงสีสันตามมาตรฐาน DCI-P3 ได้สูงถึง100% จึงให้สีสันที่สวยงามสมจริง พร้อมตอบทุกโจทย์การใช้งานด้านความบันเทิง นอกจากนี้ Vivo V17 Pro ยังเป็นสมาร์ตโฟนที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน TÜV ในด้านความปลอดภัยจากจากแสงสีฟ้า ซึ่งเมื่อเทียบกับจอ E2 ทั่วไปสามารถกรองแสงสีฟ้าได้ถึง 42% และยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยถนอมสายตาจากการใช้งานในสภาวะแสงน้อยอีกด้วย
กล้องหน้าป๊อปอัพ 32 + 8 ล้านพิกเซล เจนเนอเรชั่นล่าสุดที่มาพร้อมกล้องหลังคู่เป็นรุ่นแรกของโลก โดยมาพร้อมความโดดเด่นด้วยเลนส์มุมกว้างพิเศษ 105 องศา เก็บทุกช็อตความประทับใจได้ในทุกสถานการณ์
Vivo V17 Pro ได้พัฒนากลไกมอเตอร์คุณภาพสูง ที่ยกระดับโครงสร้างกล้องหน้าแบบเลื่อนขึ้นลงอัตโนมัติด้วยโครงสร้างแบบโลหะ พร้อมฟังก์ชั่นป้องกันการตกกระแทก ทนต่อแรงกด ที่ได้รับการทดสอบมากกว่าหมื่นครั้ง ซึ่งช่วยปกป้องและสร้างความอุ่นใจในการใช้งานได้อย่างดีเยี่ยมในทุกสถานการณ์
กล้องดิจิทัลด้านหลัง 4 ตัว AI Quad Camera ประกอบด้วย
กล้องตัวที่หนึ่ง Super Wide-Angle Camera เลนส์มุมกว้างพิเศษ 120 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล, ค่ารูรับแสงกว้าง f/2.2, เซ็นเซอร์ขนาด 1/4″, พิกเซลไซส์ 1.12µm
กล้องตัวที่สอง Main Camera ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล 26mm (wide), เซ็นเซอร์ Sony IMX 582 รูรับแสง f/1.8, , ขนาดเซ็นเซอร์ 1/2″, พิกเซลไซส์ 0.8µm, ระบบโฟกัส PDAF
กล้องตัวสาม เลนส์ Depth sensor สำหรับการทำ Portrait และโบเก้ ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4
กล้องตัวที่สี่ ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล, (Super Macro Camera) รูรับแสง f/2.4 สามารถถ่ายวัตถุได้ใกล้สุดถึง 4ซม.
จากนี้มาสำรวจ Hardware ภายนอกกันต่อ
ฝั่งซ้ายจะเป็นที่อยู่ของปุ่ม Smart Button เพื่อใช้เรียกงานผู้ช่วยอัจฉริยะ โดยค่าเริ่มต้นจะเป็น Google Assistance และสามารถตั้งค่าการกด 2 ครั้งเพื่อเรียกใช้งาน Image Recognizer ได้อีกด้วย
ฝั่งขวา ด้านบนมีปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง และปุ่มพาวเวอร์ที่จัดวางตำแหน่งเลย์เอาท์ได้ดีอีกด้วย โดยไม่อยู่สูงหรือต่ำจนเกินไป ช่วยให้การใช้งานด้วยมือเดียวเป็นไปอย่างราบลื่น
ด้านบนของตัวเครื่อง มีไมค์สนทนาและทำหน้าที่เป็นไมค์ตัดเสียงรบกวน ตรงกล้องเป็นกล้องหลังคู่ป๊อปอัพและตามด้วยช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง จะวางเลย์เอาท์ไล่จากซ้ายไปขวา ประกอบด้วย ช่องใส่ซิมการ์ด ไมค์สนทนา พอร์ต Type-C และลำโพงหลักของตัวเครื่อง
สำหรับ Vivo V17 Pro รองรับการใช้งานแบบ 2 ซิมการ์ด แบบ 2 Nano SIM (Dual SIM and Dual Standby) รองรับ 4G และ 3G ทุกเครือข่ายในไทย
ไฮไลท์ฟีเจอร์เด่นบน Vivo V17 Pro
Vivo เป็นค่ายแรกที่นำเสนอนวัตกรรม In-Display Fingerprint Scanning หรือการฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ภายในจอแสดงผล โดยที่ผ่านมาได้มีการอัพเกรดและพัฒนาตัวเซ็นเซอร์ให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ส่งผลให้การทำงานมีความรวดเร็วแม่นยำ เมื่อเทียบกับค่ายอื่น ๆ ต้องบอกว่าการปลดล็อคนั้นมีความเร็วที่เหนือกว่าแบบสัมผัสได้จริง
ฟีเจอร์ In-Display Fingerprint Scanning บน Vivo V17 Pro รองรับการบันทึกลายนิ้วมือได้สูงสุดที่ 5 ลายนิ้ว และนอกจากนี้ยังมี Effect ในขณะปลดล็อกหน้าจอที่เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ถึง 7 รูปแบบ ซึ่งช่วยเสริมให้ขณะใช้งานดูมีความน่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ส่วนระบบ face unlock บน Vivo V17 Pro มีความรวดเร็วแม่นยำ ไม่แพ้ระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ โดยใช้เวลาไม่ถึง 0.60 วินาที และยังทำงานได้ดีแม้ในที่แสงน้อยหรือในที่มืดได้โดยไม่มีปัญหา อีกทั้งยังสามารถใช้งานร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดี ทำให้มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการปลดล็อกที่ผสานทั้ง 2 ระบบเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
Vivo V17 Pro อัพเกรดจอแสดงผลด้วยวัสดุ E3 รุ่นใหม่คุณภาพสูงบนพาเนล Super AMOLED โดยมีหน้าจอขนาด 6.44 นิ้ว ใหญ่เต็มตาไร้รอยบาก ไร้ขอบจออย่างแท้จริง จึงส่งผลให้มีสัดส่วนระหว่างหน้าจอกับตัวเครื่องสูงถึง 91.65% สามารถแสดงขอบเขตสีตามมาตรฐาน DCI-P3 ได้สูงถึง100% จึงให้สีสันที่สวยงามสมจริง และยังมาพร้อมกับอัตราส่วนขนาดใหม่ 20:9 ที่พร้อมตอบโจทย์ด้านการรับชมคอนเทนต์และการเล่นเกมได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Vivo V17 Pro ยังเป็นสมาร์ตโฟนที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน TÜV ในด้านความปลอดภัยจากจากแสงสีฟ้า ซึ่งเมื่อเทียบกับจอ E2 ทั่วไปสามารถกรองแสงสีฟ้าได้ถึง 42% และยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยถนอมสายตาจากการใช้งานในสภาวะแสงน้อยอีกด้วย
ในแง่คุณภาพของจอแสดงผลบน Vivo V17 Pro ต้องบอกเลยว่าสุดจริง ๆ ทั้งสีสัน ความสว่าง ความคมชัด การตอบสนองที่สมูทลื่นไหล อีกทั้งยังสามารถปรับแต่งการแสดงผลผ่าน Software ได้อย่างยืดหยุ่น และเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี
Vivo V17 Pro มาพร้อมกับฟังก์ชั่น Always On Display ที่ใช้พลังงานต่ำ จากคุณสมบัติพิเศษ self-illuminating ของจอ Super AMOLED ทำให้เราไม่พลาดในการดูแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ในรูปแบบเรียลไทม์
และนอกจากจะทำให้การดูเวลากับการแจ้งเตือนของแอปพลิเคชันต่าง ๆ มีความสะดวกคล่องตัวมากยิ่งขึ้นแล้ว ผู้ใช้งานยังปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลของนาฬิกา, แบล็คกราวน์และสี แถมยังสามารถดาวน์โหลดรูปแบบใหม่ ๆ มาใช้งานได้อีกด้วย
มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4100mAh ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างยาวนานครบวัน แถมยังมีระบบชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี Dual-Engine Fast Charging ที่ใช้เวลาเพียง 15 นาที สามารถชาร์จได้ถึง 24% พร้อมระบบป้องกันความปลอดภัยถึง 9 ชั้น ซึ่งถือว่าชาร์จได้ไวและมีความปลอดภัยที่น่าประทับใจมาก ๆ ครับ
ทั้งนี้ควรใช้สาย USB และอแดปเตอร์ชาร์จที่ให้มาในกล่อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและได้ประสิทธิภาพสูงสุดครับ
Ultra-Game Mode
โหมด “Ultra-Game Mode” บน Vivo V17 Pro มาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่ Multi-Turbo Center Turbo การเพิ่มความเร็วให้กับระบบ ลดความล่าช้าของหน่วยความจำ และป้องกันปัญหาเฟรมเรตตกได้ถึง 78% นอกจากนี้ยังมี AI Turbo ที่มีความฉลาดในการสั่งงาน ซึ่งช่วยให้สามารถเรียกใช้งานแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยให้เร็วยิ่งขึ้นถึง 20% และยังโดดเด่นด้วยฟังก์ชัน Cooling Turbo ที่ออกแบบโครงสร้าง และระบบจัดการความร้อนให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอีกหนึ่งฟังก์ชัน Game Turbo มีระบบการเข้าถึง และการเพิ่มประสิทธิภาพขั้นสูงสำหรับการเล่นเกม (PUBG Mobile และ Mobile Legend) นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่อำนวยความสะดวกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น ประกอบด้วย
Voice Changer ฟังก์ชันเปลี่ยนเสียงในเกม ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกเอฟเฟกต์เสียงตัวละครที่หลากหลายระหว่างเล่นเกมกับเพื่อนร่วมทีม โดยเปลี่ยนเป็นเสียงย่านต่ำ หรือเสียงที่ให้ความตลกขบขัน ทำให้การสนทนาระหว่างการเล่นเกมนั้นสนุกสนาน และมีสีสันมากยิ่งขึ้น
Game Center เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ใน V17 Pro ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลสำคัญในระหว่างการเล่นเกม เช่น ดูข้อมูล CPU อุณหภูมิ และปริมาณข้อมูลการใช้งาน โดยทำงานร่วมกับ Ultra Game Mode ที่สามารถปิดข้อความ และการแจ้งเตือนต่างๆ ในขณะเล่นเกม ให้คุณสามารถมุ่งเน้นไปกับการเล่นเกมได้อย่างเต็มที่
ซอฟต์แวร์และฟีเจอร์
Vivo V17 Pro รันบนระบบปฏิบัติการ Android 9 Pie ที่ครอบทับด้วย Funtouch OS 9.1 ซึ่งในเวอร์ชั่นล่าสุดมีการปรับแต่ง UI ให้ดูโมเดิร์นขึ้นเล็กน้อย โดยเน้นประสบการณ์ใช้งานที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสะดวกคล่องตัว และผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนธีม หรือภาพพื้นหลังรวมถึงรูปแบบตัวอักษรได้ตามใจชอบ รวมทั้งสามารถเข้าถึงทางลัดการใช้งานด่วนผ่านทาง Jovi AI Engine ผู้ช่วยอันชาญฉลาด พร้อมทั้งตั้งค่ารูปแบบ Home Screen ได้อย่างยืดหยุ่น
Dark Mode ฟีเจอร์ใหม่ที่มาพร้อมกับ V17 Pro เพื่อช่วยให้การใช้งานในตอนกลางคืนเป็นไปอย่างราบลื่น และส่งผลดีต่อสุขภาพดวงตาของของผู้ใช้งาน โดยฟีเจอร์ Dark Mode หลักการทำงานจะเปลี่ยนพื้นหลังให้เป็นสีดำ เพื่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมในที่แสงน้อยได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งช่วยทั้งเรื่องของการประหยัดพลังงาน พร้อมถนอมสายตา และก่อให้เกิดความผ่อนคลายแก่ผู้ใช้งาน
(Dark Mode สามารถใช้งานได้กับบางแอปฯ)
Vivo V17 Pro มาพร้อมฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรที่มีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี Full Netcom 4.0 ทำให้สามารถสามารถจับสัญญาณ 4G/3G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม รวมไปถึงยังรองรับ Dual VoLTE ที่สามารถเปิด VoLTE ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม ทำให้การโทรผ่านสัญญาณที่มีความเร็วสูงบนคลื่น 4G มีความคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้งานด้านการโทรควบคู่ไปกับการใช้งาน Data ได้อย่างราบลื่นอีกด้วย
ฟีเจอร์อื่น ๆ ในด้านการโทรที่ให้มาก็ถือว่าครบถ้วนและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวัน เช่นฟีเจอร์บล็อคสาย บล็อคข้อความ ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถบันทึกสายขณะโทรได้โดยตรง ไม่ต้องลงแอปเพิ่มเติมแต่อย่างใด
สำหรับปุ่มนำทาง สามารถปรับตั้งค่าให้เหมาะกับความถนัดของเราได้ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมี Full Screen gesture ที่มาพร้อมฟีเจอร์สั่งการง่าย ๆ และสามารถใช้งานจอแสดงผลได้แบบเต็ม 100%
ซึ่ง Navigation gestures เป็นฟีเจอร์ที่ใช้การสไลด์นิ้วบนหน้าจอแสดงผลแทนการกดปุ่ม navigation เพื่อให้เหลือพื้นที่การใช้งานที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะใช้รูปแบบการสั่งการแบบไหน เช่นการลากจากขอบด้านล่างจากตำแหน่งตรงกลาง เพื่อกลับไปที่หน้าโฮม ซึ่งก็เหมือนการกดที่ปุ่มโฮมนั่นเอง
โหมดใช้งานมือเดียวและการจับภาพหน้าจอที่มีความหลากหลาย สำหรับการจับภาพหน้าจอก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์พิเศษของ Vivo โดยสามารถจับภาพหน้าจอได้ยืดหยุ่นมาก ๆ ทั้งการลาก 3 นิ้วขึ้นไปจากหน้าจอแสดงผล
รวมไปถึงการจับภาพหน้าจอแบบยาวๆ หรือรูปแบบอิสระ อีกทั้งยังบันทึกหน้าจอในรูปแบบของวีดีโอได้อีกด้วย และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเชียลยอดนิยม เช่น Line, Facebook หรือ Instagram ได้พร้อม ๆ กันถึง 2 แอคเคาท์ในเครื่องเดียว
ฟีเจอร์ยอดนิยมของสมาร์ตโฟนในยุคนี้ ต้องมีการแบ่งหน้าต่างเพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชั่นไปพร้อม ๆ กัน เช่นแชทไปด้วยด้วยพร้อมดู YouTube ในขณะเดียวกัน
ซึ่งบน Vivo V17 Pro นั้นเรียกใช้งานการแบ่งหน้าจอได้ง่าย ๆ เพียงลาก 3 นิ้วจากด้านบนลงไปยังด้านล่าง ก็จะสามารถใช้งาน 2 แอปฯในหนึ่งหน้าจอได้ในทันที
โหมดการใช้งานอัจฉริยะ เป็นฟีเจอร์ที่มีให้ใช้งานมาอย่างยาวนานบนสมาร์ตโฟนของ Vivo ซึ่งฟีเจอร์เหล่านี้ก็คือการทำงานร่วมกับพวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้งานเป็นหลัก เช่น วาดตัวอักษรบนหน้าจอเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชั่น, ปลดล็อคด้วยการโบกมือผ่านหน้าจอ การแจ้งเตือน การรับสายหรือเปลี่ยนเป็นโหมดแฮนด์ฟรีอัตโนมัติ ฯลฯ
โหมดมอเตอร์ไซค์และโหมดสำหรับเด็ก เป็นโหมดที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจจาก Vivo ไปยังลูกค้าหรือผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ยกตัวอย่าง โหมดเด็กเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคมทุกวันนี้ ที่เด็กเล็กบางกลุ่มสุ่มเสียงที่จะมีสมาธิสั้น อารมณ์ร้อนและมีพฤติกรรมก้าวร้าวจากการติดเกม ติดโทรศัพท์, Tablet ของผู้ปกครองนั่นเอง
ส่วนโหมดมอเตอร์ไซค์ตรงนี้แม้จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานเป็นหลักที่จะเลือกปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของความปลอดภัยหรือไม่ ทั้งการสวมใส่หมวกกันน็อค การปฏิบัติตามกฎจราจร ฯลฯ แต่ก็ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ในเชิงบวกที่น่าชื่นชมมากๆ ครับ
ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย ด้วยผู้ช่วยอัฉริยะ i-Manager ที่มาพร้อมความสามารถครบครัน ทั้งสแกนไวรัส ลบไฟล์ขยะ ระบายความร้อน สำรองข้อมูลและจัดการด้านพลังงาน
ภาพรวมถือว่าแบตอึดใช้ได้เลย ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับแบตเตอรี่ที่มาพร้อมความจุสูงถึง 4,100mAh และตัว Firmware ที่ปรับแต่งมาให้สามารถจัดสรรพลังงานได้อย่างเหมาะสม ซึ่งถ้าเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป สามารถใช้งานครบวันจนถึงบ้านได้อย่างแน่นอน ส่วนถ้าใครเน้นเล่นเกมหรือใช้งานหนัก ๆ ก็ไม่ต้องซีเรียสครับ เพราะ Vivo V17 Pro รองรับชาร์จไวด้วยเทคโนโลยี Dual-Engine Fast Charging ที่ใช้เวลาเพียง 15 นาที สามารถชาร์จได้ถึง 24% เลยทีเดียว
ประสิทธิภาพ
Vivo V17 Pro ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังจากชิปเซ็ต “Qualcomm Snapdragon 675 AIE” บนสถาปัตยกรรม 11 นาโนเมตร ที่เร็ว แรง และฉลาดขึ้น อีกทั้งยังจัดสรรพลังงานได้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย เมื่อดูที่ผลคะแนน Benchmarks จะเห็นว่าแรงขึ้นจาก Snapdragon 660 แบบสัมผัสได้จริง
เมื่อดูในส่วนของผลคะแนน Benchmarks ถือว่าเป็นรุ่นกลาง ๆ ที่มาพร้อมความลื่นไหล และความแรงในระดับที่นำไปใช้งานทั่วไปและเล่นเกมได้แบบสบาย ๆ แถมยังมีจุดเด่นตรงที่มาพร้อม RAM ถึง 8GB แบบ DDR4 อีกด้วย รวมไปถึงเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน อาทิ Gyroscope, Magnetomete, Accelerometer ส่วนภาครับสัญญาณ GPS ก็มีความแม่นยำอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากครับ
มัลติมีเดียและความบันเทิง
Music Player มาพร้อมจุดเด่นด้าน Software ด้วยฟีเจอร์ DeepField เอฟเฟ็กต์เสียงที่พัฒนาโดย Vivo ทำให้เสียงที่ได้มีความนุ่มลึก คมชัดใสเคลียร์ รองรับการจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 360 องศา อีกทั้งยังปรับแต่งเสียงผ่าน EQ ได้ยืดหยุ่นและตรงใจผู้ใช้งานได้มากยิ่งขึ้น สำหรับคนที่ชื่นชอบการฟังเพลง Vivo V17 Pro นั้นไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
Video Player บน Vivo V17 Pro รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียด 4K ได้อย่างไหลลื่น แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น
ทดสอบการเล่นเกม
Asphalt 9 เลือกปรับกราฟิคคุณภาพสูง สามารถเล่นได้อย่างไหลลื่น ไม่มีอาการแลคให้หงุดหงิดใจ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับชิปเซ็ตและพื้นที่เก็บข้อมูลแบบ UFS 2.1 รวมถึง RAM ที่จัดเต็มถึง 8GB แบบ LPDDR4X
ROV เกมแนว MOBA สุดฮิต ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงหรือผู้สูงวัยต่างก็ติดกันอย่างงอมแงม (ฮ่า) เมื่อลองเล่นที่บนเฟรมเรทสูง ก็ยังสามารถสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมที่สมูทไหลลื่น แถมเฟรมเรทไม่ตกอีกด้วย ไม่ว่าจะเดินชิล ๆ หรือลุยตะลุมบอลหมู่ โดยสามารถรักษาความ stable ไว้ที่ระดับ 59- 60fps แบบต่อเนื่อง
ปิดท้ายกันไปแด้วย PUBG เกม Tactical-FPS สามมิติเต็มรูปแบบ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งเกมที่ต้องการทรัพยากรขั้นสูง หากต้องการเล่นบนความละเอียดคมชัดระดับ HD พร้อมความลื่นไหล ซึ่งไม่มีปัญหากับ Vivo V17 Pro แต่อย่างใด เพราะสเปคนั้นจัดเต็มอยู่แล้ว และรวมถึงฟีเจอร์ Ultra-Game Mode ที่ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เหมาะสมกับการเล่นเกมได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้ Vivo V17 Pro เป็นสมาร์ตโฟนระดับ Mid-Range ที่ตอบสนองการเล่นเกมได้อย่างดีเยี่ยมรุ่นหนึ่งในท้องตลาด
ทดสอบกล้องหน้า/หลัง
ในส่วนของของ User Interface หรือหน้าตาเมนูกล้อง มีการปรับเลย์เอาท์ใหม่เล็กน้อยจากรุ่นพี่ V15/15 Pro โดยมุมขวาบนของเมนูกล้องจะแสดงไอคอนรูปม่านชัตเตอร์ ซึ่งตรงนี้จะเป็นเมนูทางลัดเพื่อเข้าถึงโหมด Ultra wide angle, Bokeh, และ Super macro
กล้องหน้ายังคงมาพร้อมฟีเจอร์หลักอันเป็นจุดขายครบถ้วนทั้ง AI Face Beauty, 3D Face Shaping ที่สามารถปรับแต่งการเซลฟี่ให้ยืดหยุ่นและตรงกับความต้องการของเราได้มากที่สุด เช่นปรับผิวนวลกระจ่างใส, ปรับโครงสร้างใบหน้า, ปรับให้ดวงตากลมโต, ริมฝีปากอิ่ม, จมูกเรียวโด่ง, คางเรียว เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่อย่าง Posture ที่โดนใจคนรักการถ่ายภาพอย่างแน่นอน เพราะฟีเจอร์นี้มีหลักการทำงาน ด้วยการแสดงตัวอย่างไกด์ไลน์ในการแอคติ้ง หรือการโพสท่าทางนั่นเอง โดยจะมีเส้นประแสดงควบคู่กับภาพแอคติ้งตัวอย่าง ซึ่งผู้ใช้งานเพียงแค่ให้แบบแสดงท่าทางตามตัวอย่างและจัดองค์ประกอบให้แบบเข้าไปอยู่ในเส้นประ เพียงเท่านี้เราก็จะได้ภาพถ่ายที่สวยโดนใจไม่แพ้การโพสท่าจากนางแบบ นายแบบมืออาชีพกันเลยทีเดียว
สำหรับฟีเจอร์ Posture รองรับการใช้งานทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังในโหมด Portrait
ทดสอบการใช้งานจริงของกล้องหน้าคู่ป็อบอัพรุ่นแรกของโลก
กล้องหน้ายังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้รุ่นพี่ในซีรีส์ V ที่สร้างมาตรฐานไว้ก่อนหน้านั้น ทั้งเรื่องความคมชัด การให้สีสันที่เป็นธรรมชาติ และไวท์บาลานซ์ที่แม่นยำ
เมื่อลองเปิดใช้งานบิวตี้โหมดก็ไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน โดยภาพที่ถ่ายด้วยโหมดบิวตี้นั้นดูสวยงามขึ้นแบบสัมผัสได้ รวมไปถึงโครงสร้างของใบหน้าและสกินโทนที่ปรับแต่งให้มีความกระจ่างใสในแบบเป็นธรรมชาติ
สำหรับโหมด AI Face Beauty ตัวระบบ AI จะคำนวนความเหมาะสมให้เข้ากับใบหน้าของเราโดยอัตโนมัติ โดยภาพที่ถ่ายด้วยโหมด AI นั้นค่อนข้างดูลงตัวเป็นธรรมชาติและใช้งานง่าย เพราะจะให้ผลลัพธ์ที่ใกล้เคียงกันในทุกสถานการณ์นั่นเอง
ในส่วนของโหมด 3D Face Shaping ผู้ใช้งานยังสามารถปรับแต่งในโหมดบิวตี้ได้อย่างยืดหยุ่น เช่นปรับให้ผิวขาวนวล ปรับสกินโทนของสีผิว ปรับให้ใบหน้าเรียวบาง, ปรับแต่งภาพรวมโครงสร้างใบหน้า, กราม, ปรับให้ดวงตากลมโต, ดวงตาเรียวยาว, ปรับแต่งรูปแบบของจมูกและริมฝีปากเป็นต้น ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยให้การถ่ายเซลฟี่เป็นเรื่องสนุก และให้ผลลัพธ์ที่ตรงใจแก่ผู้ใช้งานได้มากที่สุดนั่นเอง แถมยังใช้งานร่วมกับโหมด Portrait ได้เหมือนเช่นเคย
แฟลชบน Vivo V17 Pro จะเป็น LED Flash เมื่อทดลองเปิดแฟลชกล้องหน้า พบว่าสามารถเพิ่มมิติให้กับภาพ และเกลี่ยแสงได้สมดุลดีโดยหน้าของแบบไม่สว่างขาวจนโอเวอร์
กล้องหน้าคู่มาพร้อมใฟีเจอร์ใหม่ ประกอบไปด้วยโหมด Night Mode ที่ใช้หลักการเดียวกับกล้องหลัง โดยเป็นการถ่ายหลาย ๆ ภาพ จากสภาพแสงที่มีความแตกต่างกัน จากนั้นนำภาพที่ได้มารวมกันเป็นภาพเดียว ทำให้ภาพถ่ายกลางคืนหรือในที่แสงน้อย มีความสว่างและคมชัดโดยไม่ต้องพึ่งพาขาตั้งกล้อง
Normal mode
Super Wide-Angle Camera
กล้องหน้าคู่ที่มาพร้อมเล้นส์มุมกว้างพิเศษ Super Wide-Angle Camera ให้มุมกว้าง105 องศา ในระดับ Hardware ทำให้สามารถถ่ายเซลฟี่มุมกว้างเพื่อเก็บฉากหลังได้กว้างขึ้น รวมถึงสามารถเซลฟี่กลุ่มแบบหมู่คณะได้ดีขึ้นอีกด้วย
AR Stickers
AR Stickers การใส่อีโมจิหรือสติ๊กเกอร์ 3D น่ารัก ๆ ฟรุ้งฟริ้ง มุ้งมิ้งลงไปในรูปถ่ายของเรา โดยรองรับการทำงานทั้งกล้องหน้าและหลัง สามารถบันทึกเป็นไฟล์ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ทั้งนี้โหมด AR Selfie สามารถที่จะดีเทคตรวจจับภาพใบหน้าได้มากกว่า 1 ใบหน้าพร้อมกัน ทำให้เมื่อเราถ่ายเซลฟี่กับเพื่อน ๆ ตัวกล้องก็จะใส่ AR Stickers ให้เพื่อนที่อยู่ในเฟรมของเราด้วย
ทดสอบกล้องหลัง
กล้องหลัง AI 4 เลนส์ 48 ล้านพิกเซล ด้วยกล้องหลัง 4 เลนส์ กล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX582 ขนาด 1/2 พิกเซลขนาดใหญ่ 0.8μm และรูรับแสง F/1.8 พร้อมเทคโนโลยี Quad-Bayer ช่วยให้ภาพที่ถ่ายออกมามีสีสันสวยงามมากขึ้น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเลนส์มุมกว้าง เก็บภาพได้ทุกรายละเอียด เปิดมุมมองการถ่ายภาพให้กว้างขึ้น อีกทั้งยังมี Super Macro Camera ที่ช่วยให้สามารถเก็บทุกรายละเอียดได้ใกล้มากยิ่งขึ้น
เก็บทุกความประทับใจด้วยกล้องหลังความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล
รูปนี้ทดสอบด้วยการ Crop 100% ที่ 2000×1500 พิกเซล ตัวภาพก็ยังสามารถนำมาใช้งานได้ แต่หากเป็นกล้องที่มีความละเอียดต่ำ ก็จะสูญเสียรายละเอียดในภาพรวมออกไป จนไม่สามารถนำมาใช้งานได้เหมือนในภาพตัวอย่างนี้
และอีกหนึ่งประโยชน์ของกล้องที่มีความละเอียดสูง ก็คือสามารถต่อยอดนำภาพไปใช้งานได้ยืดหยุ่น เช่นนำไปอัดขยายได้ภาพที่มีขนาดใหญ่และยังคงความคมชัดไว้ได้นั่นเอง
ทดสอบในโหมด Auto เรื่องความคมชัด การเก็บดีเทล และไวท์บาลานซ์ทำออกมาได้ดีมาก เพราะให้ความสมจริง มีความเป็นธรรมชาติ
สำหรับโหมด Portrait สามารถละลายนฉากหลังได้ละมุน เก็บเส้นขอบอย่างพวกเส้นผมและเสื้อผ้าได้ค่อนข้างดีอีกด้วย
แน่นอนว่ารองรับบิวตี้โหมดได้เหมือนกล้องหน้า รวมถึงสามารถใช้งานโหมด Portrait ควบคู่กันไปโหมดบิวตี้ได้เหมือนกล้องหน้าทุกประการ
หนึ่งในฟีเจอร์อันเป็นจุดขายของซีรีส์ V ก็คือ AI Body Shaping นั่นเอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นฟีเจอร์ที่หลาย ๆ คนต้องชื่นชอบกันอย่างแน่นอน เพราะสามารถปรับแต่งรูปร่างของเราให้ดูเพรียวบางสมส่วน เช่น ปรับในภาพรวมของรูปร่างหรือเฉพาะจุดที่ต้องการ เช่น ศีรษะ ไหล่ สะโพก ขา หรือเอวให้ดูเล็กลงได้เป็นต้น
ทดสอบใช้งานจริง เนื่องจากนางแบบมีรูปร่างที่ค่อนไปทางกะทัดรัด จึงได้ทำการปรับแต่งให้นางแบบขายาวขึ้นมาอีกนิดเพื่อเพิ่มความสูง จากภาพตัวอย่าง ภาพด้านซ้ายใช้โหมด Auto ในการถ่าย ส่วนภาพด้านขวาเปิดใช้งาน AI Body Shaping ซึ่งถ้าสังเกตให้ดี ๆ จะเห็นว่าขาของนางแบบเรามีความเพรียวบางลงและดูสูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และแน่นอนว่ายังสามารถปรับแต่งได้อีกหลายส่วน เช่นปรับทั้งภาพรวมก็ได้ หรือเลือกปรับเฉพาะจุด เช่น ศีรษะ ไหล่ เอว ขาสะโพกเป็นต้น
สำหรับฟีเจอร์ AI Body Shaping ต้องบอกเลยว่าเป็นฟีเจอร์ที่โดนใจ “หนุ่ม สาว” คนรุ่นใหม่อย่างแแน่นอน เพราะสามารถทลายข้อจำกัดในการถ่ายรูปแบบเดิม ๆ ที่หลายคนกังวลว่าถ่ายรูปออกมาแล้วจะดูอ้วน ดูแขนใหญ่ สะโพกใหญ่ ฯลฯ ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะหมดไปด้วย AI Body Shaping นั่นเองครับ
โหมด Ultra wide angle
ในโหมด Ultra-Wide จะให้มุมมองกว้างเป็นพิเศษถึง 120 องศา ทำให้สามารถถ่ายวิวทิวทัศน์ในมุมมองที่กว้างขึ้น ไม่ต้องถอยไกลแม้จะอยู่ในพื้นที่จำกัด รวมถึงสามารถเก็บภาพถ่ายแบบหมู่คณะผองเพื่อนได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่นอีกต่อไป
Normal Mode ที่ระยะปรกติ 1x
Ultra wide angle (มุมกว้างพิเศษ)
AI Night Mode
โหมด Normal
Night Mod
AI Night Mode ที่เป็นการถ่ายภาพซ้อนหลาย ๆ ภาพ จากสภาพแสงที่มีความแตกต่างกัน จากนั้นนำภาพที่ได้มารวมกันเป็นภาพเดียว ทำให้ภาพถ่ายกลางคืนหรือในที่แสงน้อย มีความสว่างและคมชัดโดยไม่ต้องพึ่งพาขาตั้งกล้อง
โหมด Normal
Night Mod
AI Night Mode ไม่ได้ทำให้ภาพสว่างขึ้นมาเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยดึงดีเทลรายละเอียดของภาพกลับมาอีกทางหนึ่งด้วย สามารถดูการเปรียบเทียบได้จากภาพตัวอย่าง ซึ่งภาพด้านล่างเมื่อเมื่อเปิดใช้ AI Night Mode แล้ว ภาพจะดูสว่างขึ้นและเพิ่มรายละเอียดในส่วนที่ขาดหายไปจากภาพด้านบน
Super macro
หนึ่งในไฮไลท์ของกล้องหลัง 4 เลนส์ บน Vivo V17 Pro ก็คือเลนส์มาโคร ที่สามารถถ่ายภาพระยะใกล้ได้ถึง 4 ซม. ทำให้สามารถเก็บรายละเอียดวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่นภาพแมลง หรือวัตถุที่ต้องการเน้นความคมชัดและรายละเอียด ซึ่งเลนส์มาโครจะช่วยให้การถ่ายภาพนั้นสนุกและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวันได้อย่างแน่นอน
สรุป Vivo V17 Pro
เป็นการสานต่อความสำเร็จจากรุ่นพี่ V15/15 Pro ได้อย่างสมศักดิ์ศรี แถมในภาพรวมยังมีความเปลี่ยนแปลงที่อัพเกรดขึ้นไปอีกขั้น ทั้งเรื่องของวัสดุที่เลือกใช้กระจกโปรงใสแบบพิเศษ ส่งผลให้มีความพรีเมี่ยมขึ้น และมาพร้อมกับพอร์ต Type-C ที่หลาย ๆ คนถามหากันมายาวนาน รอบนี้ได้ใช้กันสมใจเสียที ส่วนด้านนวัตกรรมก็ยังคงความเป็นผู้นำของวงการอีกครั้ง ด้วยการส่งกล้องหน้าคู่แบบป็อปอัพมาลงตลาดเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย แต่เปิดตัวด้วยราคาที่ถูกลงเมื่อเทียบกับ Vivo V15 Pro ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
สำหรับ Vivo V17 Pro เป็นสมาร์ตโฟนที่มาพร้อมจุดเด่นรอบด้าน ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพโดยรวมที่สามารถตอบทุกโจทย์การใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่ว ๆ ไป หรือเน้นด้านความบันเทิงอย่างการรับชมคอนเทนต์ความละเอียดสูง รวมถึงการเล่นเกมที่มีกราฟิคสูง ๆ และแน่นอนสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือคุณภาพกล้องหน้า/หลัง ซึ่ง Vivo V17 Pro สามารถสอบผ่านได้แบบสบาย ๆ เพราะทำผลงานได้ดีตามเกณฑ์มาตรฐานของทางค่าย เมื่อร่วมกับฟีเจอร์ล้ำ ๆ ที่ถ่ายทอด DNA มาจากรุ่นพี่ ไม่ว่าจะเป็นฟีเจอร์ชาร์จเร็วและนวัตกรรม In-Display Fingerprint Scanning ที่เหนือกว่าคู่แข่ง เชื่อว่าถ้าผู้ใช้งานทั้งแฟนขาประจำและผู้ใช้งานหน้าใหม่ เมื่อได้ลองมาสัมผัสกับ Vivo V17 Pro แล้วจะตกหลุมรักอย่างแน่นอน
Vivo ได้เปิดให้ Pre – Order Vivo V17 Pro ในราคา 12,999 บาท โดยมีให้เลือกถึง 2 สีด้วยกัน ได้แก่ Black Night และ Crystal White โดยสำหรับท่านที่สนใจสามารถ Pre – Order เพื่อเป็นเจ้าของก่อนใคร ตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. 62 – 4 ต.ค. 62 โดยมีรายละเอียดเงื่อนไขการสั่งจอง ดังนี้
รายละเอียดเงื่อนไขการสั่งจอง
ลูกค้าสามารถทำการสั่งจองผ่านร้าน Vivo Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายโดยมีรายละเอียดดังนี้ :
- ลูกค้าที่ทำการจอง Vivo V17 Pro ที่ Vivo Brand Shop ทุกสาขาและร้านตัวแทนจำหน่าย รับสิทธิ์ได้เครื่องก่อนใครพร้อมทั้งได้รับสิทธิพิเศษอื่น ๆ มากมาย :
- ลูกค้าจะได้รับ กระเป๋าสุดพรีเมียม มูลค่า 1,099 บาท
- ลูกค้าจ่ายค่ามัดจำในการจองเพียง 500 บาท พร้อมทั้งกรอกรายละเอียดการจองและตรวจสอบการจองให้ครบถ้วน หากเกิดข้อผิดพลาดจากตัวผู้จองเอง ทางบริษัท วีโว่ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด จะไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น ในทุกรณี
- ต้องนำใบการจอง พร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนมารับสินค้า พร้อมทั้งชำระค่าส่วนต่างในวันรับเครื่อง
- ลูกค้าสามารถรับเครื่อง Vivo V17 Pro ในสาขาที่ทำการจองเท่านั้น มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์ในการรับของแถม พร้อมทั้งสงวนสิทธิ์ในการคืนค่ามัดจำในทุกกรณี
- ระยะเวลาเปิดรับการจองเริ่มตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. 62 – 4 ต.ค. 62 เท่านั้น Vivo Brand Shop ทุกสาขาและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
- บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
- หากมีข้อสงสัยในการสั่งจองสามารถติดต่อได้ที่ : บริษัท วีโว่ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 729/117-121 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 โทร. 02-284-0333 Fax. 02-2943988 Call Center. 02-294-3111-2 หรือที่ vivo.co.th
- สำหรับผู้ที่ทำการจอง Vivo V17 Pro สามารถรับเครื่องพร้อมของแถมในวันที่ 5 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป