รีวิว Sony WF-1000XM3 หูฟัง True Wireless ระดับไฮเอนด์ มาพร้อมที่สุดของระบบตัดเสียงรบกวน ที่ไม่เป็นสองรองใคร !!

โดย J.wasan
0 ความเห็น 3.1K views

Sony WF-1000XM3  เป็นหูฟัง True Wireless ที่กระแสร้อนแรงตั้งแต่เปิดตัว พร้อมตอกย้ำความสำเร็จด้วยยอดจองจนสินค้าขาดตลาดไปอยู่ช่วงหนึ่ง โดยตัวผมเองติดตามข่าวตั้งแต่ช่วงเปิดตัวในต่างประเทศ จนกระทั่งได้ลองสัมผัสตัวจริงเสียงจริงภายในงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งต้องบอกเลยว่าประทับใจมาก ๆ แต่ช่วงที่ทดสอบในงานนั้นมีเวลาน้อยมาก จึงขอหูฟังตัวนี้จากทางโซนี่มารีวิวแบบลองใช้ยาว ๆ โดยหลังจากอยู่ร่วมและสัมผัสกับหูฟัง Sony WF-1000XM3 มาร่วมเดือน ได้ลองใช้ฟังก์ชั่นเทพ ๆ อย่าง Noise Canceling ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ ส่วนความน่าสนใจอื่น ๆ จะมีอะไรบ้าง มาติดตามรับชมไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ 

สเปคเบื้องต้น Sony WF-1000XM3

  • ไดร์เวอร์: 6mm. Dome Type (CCAW Voice Coil) / Magnet Neodymium
  • ความถี่ตอบสนอง: 20Hz-20,000Hz (44.1kHz Sampling)
  • Supported Audio Format: SBC, AAC
  • บลูทูธ: เวอร์ชั่น 5.0
  • NFC: มี
  • DSEE HX: มี
  • Noise Canceling: มี
  • Application: Sony | Headphones Connect ( Android & iOS )
  • ใช้งานต่อเนื่อง: สูงสุด 6 ชั่วโมง (เปิด NC) / 8 ชั่วโมง (ปิด NC) และ 24 ชั่วโมง เมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จ
  • เวลาในการชาร์จหูฟัง:  1.5 ชั่วโมง (โดยประมาณ)
  • เวลาในการชาร์จเคส: 3.5 ชั่วโมง  (โดยประมาณ)
  • พอร์ตการเชื่อมต่อ: USB Type-C
  • นํ้าหนัก: 8.5 กรัม
  • สี: Silver & Black
  • ราคาเปิดตัว: 8,990 บาท

บรรจุภัณฑ์ / อุปกรณ์ภายในกล่อง

ตัวกล่องแพ็กเกจมีขนาดกะทัดรัดมาในโทนสีขาวสะอาดตา ด้านหน้ากล่องโชว์ความหล่อของตัวหูฟัง Sony WF-1000XM3 พร้อมฟีเจอร์เด่น ๆ อย่างเช่นระบบตัดเสียงรบกวน Noise Canceling, การใช้งานที่ยาวนาน 24 ชั่วโมง (เมื่อใช้งานร่วมกับเคสชาร์จ) อีกทั้งยังรองรับการทำงานร่วมกับคำสั่งเสียง อย่าง Google Assistant และ Siri ผ่านทางแอปพลิเคชั่น Sony | Headphones Connect ซึ่งรองรับการใช้งานทั้งบนระบบปฏิบัติการ Android และ iOS

ด้านหลังกล่องพิมพ์บอกไฮไลท์จุดเด่นของตัว Sony WF-1000XM3 ซึ่งต้องบอกว่าฟีเจอร์ที่ให้มานั้นอัดแน่นและเด่นรอบด้านอย่างแท้จริง สำหรับตัวกล่องจะเป็นแบบลิ้นชักดึงออกมาด้านข้างตามรูปตัวอย่าง

อุปกรณ์ภายในกล่องที่ให้มาประกอบไปด้วย

  1. หูฟัง Sony WF-1000XM3 + กล่องเก็บหูฟังพร้อมแท่นชาร์จในตัว (เคสชาร์จ)
  2. สายชาร์จชนิด USB Type-C
  3. คู่มือการใช้งานฉบับย่อ
  4. จุกยางสำรองหลากหลายขนาด

สิ่งที่ชอบคือตัวจุกยางที่แถมมาให้มีทั้งแบบซิลิโคนรวมถึงแบบจุกโฟม และมีหลายไซส์จึงรองรับการใช้งานได้คลอบคลุมตามสรีระของผู้สวมใส่ และตรงกับไลฟ์สไตล์แนวเสียงของแต่ละบุคคนได้อย่างยืดหยุ่นลงตัว

 

รูปลักษณ์ดีไซน์/การออกแบบ

ตัวกล่องเคสชาร์จมีโครงสร้างแข็งแรง วัสดุหรูหราพรีเมี่ยมสมราคา และมีขนาดที่ไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกคล่องตัว สำหรับด้านหน้าจะมีไฟแจ้งเตือนการชาร์จหูฟัง ซึ่งไฟจะติดเมื่อเราเก็บตัวหูฟังเข้าไปในกล่อง รวมถึงเมื่อเราเสียบสายชาร์จเพื่อชาร์จแบตให้กับตัวกล่องด้วยนั่นเอง

ด้านบนของตัวเคสชาร์จจะตัดด้วยสีโรสโกลด์พร้อมโลโก้ SONY ดูโดดเด่นสะดุดตา

มาพร้อมพอร์ต Type-C ตามสมัยนิยม ทำให้ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนหลาย ๆ รุ่นในปัจจุบันได้อย่างคล่องตัว แถมยังเด่นในเรื่องระบบการชาร์จที่ไวกว่าสายรุ่นเก่าอย่าง Micro USB อีกด้วย

ตัวกล่องเคสชาร์จ จะมีการระบุฝั่งของตัวหูฟังไว้อย่างชัดเจน และไม่ต้องกังวลว่าจะใส่ผิดด้าน เพราะตัวกล่องมีการออกแบบให้หูฟังนั้นต้องใส่ลงไปช่อง L/R แบบบังคับอยู่แล้ว เรียกว่าใส่ผิดตัวหูฟังก็จะไม่ลงล็อคนั่นเอง ส่วนตัวชาร์จจะเป็นแบบ Pogo pin แบบ 3 Dot พร้อมระบบยึดแบบแม่เหล็ก

สำหรับการชาร์จไฟ เมื่อทำการชาร์จหูฟังพร้อมเคสชาร์จจนเต็มแล้ว จะสามารถใช้งานได้นาน 6 ชั่วโมง และยังชาร์จไฟกับตัวกล่องได้อีก 3 รอบ ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึง 24 ชั่วโมง แต่ถ้าต้องการใช้งานในแบบเร่งด่วน ต้องบอกว่ารองรับการชาร์จไฟที่ค่อนข้างเร็วใช้ได้เลย โดยเมื่อชาร์จเพียง 10 นาที สามารถเล่นเพลงได้สูงสุดถึง 90 นาที

เมื่อเก็บเข้ากล่องและชาร์จไฟ จะมีไฟติดขึ้นที่ด้านปลายของตัวหูฟัง และตรงสัญลักษณ์ NFC บนตัวกล่อง เมื่อไฟดับหมายถึงการชาร์จเสร็จสมบูรณ์แล้วนั่นเอง

เมื่อแรกเปิดตัวที่ต่างประเทศ โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าหูฟัง Sony WF-1000XM3 มีรูปทรงที่ค่อนข้างใหญ่ แต่เมื่อได้ไปลองสัมผัสของจริงเมื่อคราวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย http://bit.ly/2lI3pbt พบว่าไม่ได้ใหญ่เทอะทะแต่อย่างใด และเมื่อได้ลองสวมใส่จริงก็ไม่พบอาการอึดอัด เพราะน้ำหนักของตัวหูฟังอยู่ที่ 8.5 กรัมเท่านั้น

 

ตัวหูฟัง Sony WF-1000XM3 มาพร้อมกับการออกแบบโดยที่ไม่มีปุ่มคอลโทรลใด ๆ บนตัวเฮ้าส์ซิ่ง ในภาพรวมของดีไซน์เดินในแนวทาง Modern classic style จึงเน้นไปที่ความเรียบง่าย แต่แฝงความหรูหราไว้ภายใน ส่วนวัสดุและการเก็บดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำออกมาได้ดีมาก ไม่เสียชื่อค่ายโซนี่อย่างแน่นอน

ในด้านการสวมใส่ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของ Sony WF-1000XM3 เพราะด้วยการออกแบบตามหลัก Ergonomic Tri-Hold จึงทำให้สวมใส่ได้กระชับแนบสนิทตามหลักสรีระศาสตร์ได้อย่างสมบูรณ์ลงตัว

 

นอกจากจะเด่นด้วยโครงสร้างแบบ Tri-Hold ที่ช่วยให้การสวมใส่กระชับเข้ากับใบหูของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดีแล้ว ตัวพื้นผิวในส่วนของจุกหูฟังได้เลือกใช้วัสดุที่เป็นยางนิ่มมีแรงเสียดทานสูง (High-Friction) เข้ามาเสริม จึงทำให้เพิ่มความกระชับและแนบสนิทเข้ากับใบหูของผู้ใช้งานเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีกระดับ แถมยังช่วยในเรื่องการลดเสียงรบกวนได้อีกทางหนึ่งด้วย

 

และถึงแม้ทางโซนี่จะไม่ได้เคลมเรื่องการสวมใส่เพื่อออกกำลังกายโดยเฉพาะก็ตาม แต่ส่วนตัวของผู้เขียนเคยใส่ไปวิ่งจ๊อกกิ้ง ในขณะที่วิ่งตัวหูฟังก็ยังมีความกระชับไม่เลื่อนหรือหลุดออกมาเหมือนหูฟัง True Wireless บางรุ่นที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการออกกำลังกายโดยเฉพาะ จึงขอเฟิร์มเลยว่าใส่ออกกำลังกายเบา ๆ ได้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน

ไม่มีปุ่มคอลโทรล แต่ผู้ใช้งานสามารถสั่งงานตัวหูฟังผ่านแป้นสัมผัสที่ด้านบน (Intuitive Touch) โดยหูฟังฝั่งซ้ายจะควบคุมฟังก์ชั่นตัดเสียงรบกวน Noise Canceling, Ambient Sound, Ambient Sound Off  ส่วนฟังขวาจะควบคุมการเล่นเพลง โดยมีหลักการทำงานดังนี้

หูฟังข้างขวา

แตะปุ่มสัมผัสที่หูฟังข้างขวา 1 ครั้ง = เล่นเพลง

ขณะเพลงเล่น แตะปุ่มสัมผัสที่หูฟังข้างขวา 1 ครั้ง = หยุดเพลง

แตะปุ่มสัมผัสที่หูฟังข้างขวา 2 ครั้ง = เล่นเพลงถัดไป

แตะปุ่มสัมผัสที่หูฟังข้างขวา 3 ครั้ง  = เล่นเพลงก่อนหน้านี้

แตะปุ่มสัมผัสที่หูฟังข้างขวาค้างไว้  = เรียกใช้งานคำสั่งเสียง

 

หูฟังข้างซ้าย

แต่ที่ละ 1 ครั้ง จะเป็นการควบคุมระบบ Noise Cancelling, Ambient Sound และ Ambient Sound Off โดยจะหมุนวนไปทีละฟังก์ชั่น

ส่วนแตะค้างไว้ จะเป็นการเปิด Ambient Sound ชั่วคราว เมื่อเลิกแตะจะกลับเข้าสู่ Ambient Sound Off โดยอัตโนมัติ

การเชื่อมต่อ 

หากเป็นการเชื่อมต่อครั้งแรกบนระบบปฏิบัติการ Android ให้นำหูฟังออกจากเคสชาร์จ จากนั้นเข้าไปที่การตั้งบนสมาร์ทโฟน มองหาการเชื่อมต่อ Bluetooth และเลือกไปที่หูฟัง WF-1000XM3 แล้วทำการ Pairing ส่วนสมาร์ทโฟนเครื่องไหนมี NFC สามารถเชื่อมต่อได้แบบง่าย ๆ  เพียงนำสมาร์ทโฟนมาแตะที่เคสชาร์จก็จะทำการ Pairing ได้อย่างรวดเร็วทันใจ

ส่วนบน iPhone สามารถเชื่อมต่อผ่านแอปฯ Sony | Headphones Connect หรือในการเชื่อมต่อครั้งแรก ให้สวมใส่หูฟัง จากนั้นแตะค้างที่แป้นสัมผัสทั้ง 2 ข้างค้างไว้เป็นเวลา 7 วินาที จากนั้นให้ทำการเชื่อมต่อหูฟังผ่านทางการตั้งค่า Bluetooth ซึ่งจะใช้หลักการเดียวกันกับระบบปฏิบัติการ Android นั่นเอง

 

ส่องไฮไลท์ฟีเจอร์เด็ดบน Sony WF-1000XM3

HD Noise Cancelling Processor QN1e

QN1e ชิปประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่ายโซนี่ ที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์อันทรงพลัง สามารถป้องกันเสียงรบกวนบนทุกย่านความถี่ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังให้ผลลัพธ์เสียงที่น่าทึ่งและมีความผิดเพี้ยนน้อยที่สุด

 

Optimised antenna design

หูฟัง Sony WF-1000XM3 ได้มีการออกแบบสายอากาศตัวรับสัญญาณ Bluetooth ไว้บนตำแหน่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดบนตัวหูฟัง จึงส่งผลให้ภาครับสัญญาณมีความเสถียรและครอบคลุมในวงกว้าง สามารถใช้งานได้อย่างราบลื่น สมูทไม่เกิดอาการดีเลย์หรือสัญญาณขาด ๆ หาย ๆ

 

Dual Noise Sensor Technology

ไมค์ตัดเสียงรบกวนแบบคู่ ที่สามารถดักจับเสียงได้อย่างแม่นยำ โดยประกอบไปด้วยไมค์จับเสียงจากทางด้านหน้า และด้านหลัง อย่างละ 1 ตัว ซึ่งจะทำหน้าที่ในการผสานการจับเสียงรบกวนที่อยู่รอบตัวได้คลอบคลุมและแม่นยำกว่าการใช้ไมค์เพียง 1 ตัว

 

 

Superior listening with a new Bluetooth® chip

ก่อนหน้านั้นหลักการทำงานของหูฟัง True Wireless จะเป็นการส่งสัญญาณไปยังหูฟังเพียงข้างเดียว แล้วหูฟังตัวที่รับสัญญาณจะทำทำการส่งต่อไปยังหูฟังอีกข้าง ซึ่งอาจจะพบเจอปัญหาเรื่องดีเลย์และสัญญาณที่ไม่เสถียร แต่ใน Sony WF-1000XM3 ได้มีการพัฒนาชิป Bluetooth รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมความสามารถรับสัญญาณได้พร้อม ๆ กันทั้ง 2 ข้าง ส่งผลให้ปัญหาคอขวดที่เคยเผชิญกันมานั้นหมดไป แถมยังได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย

 

Adaptive Sound Control automatically adjusts to whatever you do

ฟีเจอร์นี้ทำงานร่วมกับแอปฯ Sony | Headphones Connect  โดยสามารถตรวจจับกิจกรรมที่เรากำลังทำอยู่ เช่น กำลังเดินทาง กำลังเดิน หรือกำลังรอ แล้วปรับการตั้งค่าเสียงรอบข้างให้เหมาะกับสถานการณ์และตามโปรไฟล์ที่เราได้ตั้งค่าไว้

 

“DSEE HX” หรือชื่อเต็ม “Digital Sound Enhancement Engine” เป็นซอฟแวร์ที่เข้ามาช่วยปรับปรุงคุณภาพไฟล์เสียงที่มีการบีบอัดอย่าง MP3 และ AAC ให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น ใครที่อยากให้ไฟล์ Lossy มีคุณภาพที่ดีขึ้นหรือให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงไฟล์ Lossless สามารถเปิดงานฟังก์ชั่นนี้ผ่านทางแอปฯ  Sony | Headphones Connect

 

การใช้งานหูฟัง Sony WF-1000XM3 ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้ใช้งานควรดาวโหลดแอปฯ Sony | Headphones Connect มาติดตั้งใช้งานร่วมกัน โดย แอปฯ Sony | Headphones Connect รองรับทั้งบน iOS และ Android

ในหน้าแรกของตัวแอปฯ จะแจ้งสถานะสถานะการเชื่อมต่อ ผ่านระบบ AAC/ DSEE HX ระดับแบตเตอรี่ทั้ง 2 ข้างของหูฟัง การปรับตั้งค่าของ Adaptive Sound Control ซึ่งจะมีโหมดให้เลือกใช้งานด้วยกัน 4 โหมด ประกอบไปด้วย การใช้งานเมื่อนั่งอยู่กับที่, ขณะเดิน, วิ่ง, หรืออยู่บนรถโดยสาร เพื่อเลือกการคอนโทรลการตัดเสียง (Noise Canceling) ที่เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น  และตั้งค่า Ambient Sound เพื่อเลือกรับเสียงจากภายนอก ซึ่งมีให้เลือกถึง 20 ระดับ 

 

ในด้านการปรับแต่งเสียงจะมี EQ แบบสำเร็จรูปและปรับตั้งค่าแบบแมนวนได้ รวมถึงเลือกใช้ฟีเจอร์ DSEE HX  เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงจากไฟล์ Lossy ให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น

ในส่วนของ Sound Quality Mode ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ 2 แบบ คือต้องการคุณภาพสูงสุด หรือต้องการการเชื่อมต่อที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถปรับตั้งค่า การสั่งงานผ่านหูฟังทั้งซ้ายขวาได้อย่างยืดหยุ่น เช่นจะปรับเปลี่ยนให้หูฟังฝั่งขวามาคอนโทรล ด้านการตัดเสียงรบกวน แล้วให้ฝั่งซ้ายใช้ในการคอนโทรลการเล่นเพลงก็ย่อมได้ รวมถึงการเรียกใช้งานผู้ช่วยส่วนตัวอย่าง Siri และ Google Assistant ก็สามารถตั้งค่าได้จากภายในแอปฯ

สุดท้ายผู้ใช้งานสามารถอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้กับหูฟังผ่านระบบ OTA ได้จากตัวแอปฯโดยตรง ซึ่งการอัพเดตก็ไม่ยุ่งยากอะไร เพราะตัวแอปฯจะทำการดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์อัพเดตมาติดตั้งให้อัตโนมัติผ่าน Wifi และ 4G

 

เฟิร์มแวร์ล่าสุด ณ ตอนนี้คือเวอร์ชั่น 1.3.0

 

ทดสอบการใช้งานจริง ระบบตัดเสียงรบกวน Noise Canceling

ทดสอบแบบ Indoor ภายในห้อง โดยผู้เขียนจะเปิดทีวีผ่านลำโพงซาวด์บาร์ ซึ่งใช้ความดังปรกติ ในรูปแบบที่ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เพิ่มหรือลดเสียงลงเป็นพิเศษแต่อย่างใด เมื่อลองฟังเพลงพร้อมเปิดใช้งานฟีเจอร์ Noise Canceling บนหูฟัง Sony WF-1000XM3 จะพบกับความเงียบสงัดในทันที ทั้งเสียงจากลำโพงซาวด์บาร์หรือจากเสียงแอร์ 

เมื่อผู้เขียนลองทดสอบเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับตัวลำโพงซาวด์บาร์ในระยะ 1 ฟุต หรือราว ๆ 30 ซม. ผลลัพธ์ที่ออกมาต้องบอกว่าน่าทึ่งมาก ๆ เพราะยังคงตัดเสียงรบกวนได้อย่างดีเยี่ยม โดยในระยะ 1 ฟุตก็ยังไม่ได้ยินเสียงที่ออกมาจากตัวลำโพงซาวด์บาร์แต่อย่างใด สุดท้ายต้องเอาหูไปแนบใกล้ ๆ ลำโพงถึงจะได้ยิน มาถึงตรงนี้คงต้องบอกได้เลยว่า ฟีเจอร์ Noise Canceling บนหูฟัง Sony WF-1000XM3 นั้นเทพสมคำร่ำลือจริง ๆ ครับ

 

ใช้งานนอกสถานที่ Outdoor

ผู้เขียนได้ลองใช้งานในสถานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบน MRT / BTS หรือย่านชุมชน อย่างป้ายรถเมล์ ที่มีรถราสัญจรและมีเสียงต่าง ๆ อึกทึกครึกโครมมากมาย  ซึ่งระบบตัดเสียงรบกวน Noise Canceling บนหูฟัง Sony WF-1000XM3 ก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ในบางสถานการณ์อาจจะได้เงียบสนิท แต่ก็ไม่เป็นการเสียอรรถรสในการฟังเพลงแต่อย่างใด ส่วน Ambient Sound ก็มีประสิทธิภาพในการรับเสียงภายนอกได้ดีไม่แพ้ระบบตัดเสียงรบกวน Noise Canceling โดย Ambient Sound บนหูฟังสามารถถ่ายทอดเสียงออกมาได้อย่างคมชัดแม่นยำ ตรงนี้ต้องยกความดีให้กับชิป QN1e และ Adaptive Sound Control ที่ปรับตั้งค่าได้ยืดหยุ่นมาก ๆ นั่นเอง

 

ทดสอบเสียง Sony WF-1000XM3

ตัวหูฟังที่ผู้เขียนได้รับมา ไม่ใช่ของใหม่แกะกล่อง แต่เป็นตัวที่ผ่านการรีวิวมาแล้ว ฉะนั้นจึงผ่านการเบิร์นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 100 ชั่วโมง เรื่องสุ้มเสียงจึงเข้าที่เข้าทางเป็นที่เรียบร้อย จึงขอบอกเล่าตามที่ได้สัมผัสจริง ๆ นะครับ

ไม่ว่าจะเทสหูฟัง ลำโพง หรือตัว Player เพลงที่ขาดไม่ได้ต้องหยิบขึ้นมาทดสอบทุกครั้งก็คือ Hotel California ซึ่งสามารถทดสอบในเรื่องของ sound stage โดย Sony WF-1000XM3 มีเวทีเสียงที่อาจจะไม่ได้กว้างมากนัก แต่เมื่อเทียบกับหูฟังในระดับเดียวกันถือว่าทำได้เหนือกว่าพอสมควร เพราะสามารถแยกชิ้นดนตรีได้ชัดเจนแม่นยำ ให้ความรู้สึกมีมิติความลึก แตกต่างจาก True Wireless บางรุ่น ที่เราจะรู้สึกว่าเวทีเสียงนั้นจะอยู่ในแนวระนาบ เสียงที่ได้จะดูแบน ๆ ขาดมิติความลึกที่ควรจะมี  

ในด้านย่านเสียงต่ำ มวลเบสมีให้สัมผัส สามารถลงได้ลึกพร้อมเก็บตัวกระชับ มีอิมแพคที่ดี แต่ไม่กระแทกกระทั้นจนกลบย่านเสียงอื่น เมื่อทดสอบย่านเสียงกลางด้วยเพลง Ain’t No Sunshine เวอร์ชั่น Daniel Schuhmacher ซึ่งจากได้ลองฟังหลาย ๆ รอบ พบว่าเสียงกลางให้ความอิ่ม หนักแน่น หัวโน๊ตมีความชัดเจน เพลงไหนที่เน้นในส่วนของ Voice เราจะสัมผัสได้ถึงพลังเสียงของนักร้อง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีพลัง เก็บดีเทลได้อย่างชัดเจนครบถ้วน แม้กระทั้งเสียงดึงอากาศก่อนที่จะเปลี่ยนท่อนร้องของตัวนักร้องก็ยังให้ดีเทลที่แจ่มชัดมาก ๆ 

ย่านเสียงสูงทดสอบด้วยเพลง Sweet Talks in The Dream ที่ขับร้องโดย Tong Li ในเพลงนี้จะมีทั้งเครื่องสาย และเสียงนักร้องที่มีปลายเสียงสูง ซึ่งพบว่าเสียงสูงนั้นมีความใส ปลายเสียงพริ้วไหว มีความกรุ๊งกริ๊ง เก็บดีเทลในปลายเสียงที่ค่อย ๆ จางหายได้ค่อนข้างดี และเด่นในเรื่องการไล่ระดับและควบคุมโทน ทำให้ไม่แหลมบาดระคายหู จึงฟังนาน ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่รู้สึกล้าหูแต่อย่างใด ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า โซนี่จูนเสียงหูฟังรุ่นนี้ได้ดีมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะฟังแนวไหน WF-1000XM3 พร้อมตอบโจทย์คอเพลงได้ทุกแนว

 

ทดสอบเพลง Lossy ในรูปแบบ mp3 พร้อมเปิดฟีเจอร์ DSEE HX

เพลงที่มีการบีบอัด ย่อมสูญเสียรายละเอียดอย่างแน่นอน แต่ฟีเจอร์ DSEE HX จะเป็นตัวเสริมที่เข้ามาช่วยเติมเต็มในด้าน Quality ที่ขาดหายไป และถึงแม้จะไม่ได้ให้คุณภาพเทียบเท่า Source ที่มาในรูปแบบ Lossless ก็ตาม แต่ภาพรวมเราจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในย่านเสียงต่าง ๆ ที่ยกระดับขึ้นมาอีกนิด เมื่อเทียบกับการฟังเพลงโดยไม่ใช่ฟีเจอร์ DSEE HX และเมื่อรวมกับ EQ ที่มีให้เลือกหลายรูปแบบและยังปรับตั้งค่าในแบบแมนวนได้เอง จึงส่งผลเกิดความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น เมื่อฟังเพลง Lossy ผ่านฟีเจอร์เหล่านี้

ทดสอบการใช้งานด้านการโทร ช่วงแรก ๆ อาจจะมีปัญหาบ้างเล็กน้อย แต่หลังจากอัพเดตเฟิร์มแวร์ล่าสุด ในเวอร์ชั่น 1.3.0 ในเรื่องความคมชัดนั้นดีขึ้นมากแบบสัมผัสได้จริง ส่วนเรื่องความเสถียรนั้นหายห่วง ทั้งชิปเซ็ตรุ่นใหม่และการออกแบบเสาสัญญาณในตำแหน่งที่ดีที่สุด รวมถึงไมค์ตัดเสียงมีมีประสิทธิภาพสูง ในภาพรวมถือว่าสอบผ่านเลยครับ

สรุป Sony WF-1000XM3

เป็นหูฟัง True Wireless ที่กระแสแรงมาก ๆ ทั้งยอดจอง บทความรีวิวและการถูกล่าวถึงในสื่อโซเชี่ยล ซึ่งหลังจากได้ลองสัมผัสลองใช้งานอย่างจริงจังมาร่วมเดือน ขอบอกเลยว่าประทับใจมาก ๆ ทั้งเรื่องของดีไซน์ทีมีความพรีเมี่ยม และการสวมใส่ที่กระชับ สามารถใส่ออกกำลังกายก็ยังไหว ในด้านคุณภาพเสียงนั้นหายห่วงครับ สามาถถ่ายทอดเสียงได้อย่างครบเครื่อง เก็บรายละเอียดได้ดี สามารถตอบโจทย์การใช้งานทั้งการฟังเพลง ดูหนังเล่นเกม ได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อรวมถึงฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนขั้นเทพที่ทำผลงานได้สมคำร่ำลือ และฟีเจอร์อื่น ๆ ที่อัดแน่นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชิป Bluetooth รุ่นใหม่ ที่มาพร้อมความสามารถในการรับสัญญาณได้พร้อม ๆ กันทั้ง 2 ข้าง ทำให้หมดปัญหาเรื่องสัญญาณที่ไม่เสถียร และฟีเจอร์ Adaptive Sound Control ที่สามารถตรวจจับกิจกรรมที่เรากำลังทำอยู่ เช่น กำลังเดินทาง กำลังเดิน หรือกำลังรอ แล้วปรับการตั้งค่าเสียงรอบข้างให้เหมาะกับสถานการณ์และตามโปรไฟล์ที่เราได้ตั้งค่าไว้ แถมตัวหูฟังยังใช้ได้ยาวนานถึง 24 ชั่วโมง (ร่วมการชาร์จจากเคสชาร์จ) ทำให้หูฟัง Sony WF-1000XM3 เป็นเพื่อนคู่ใจที่สามารถร่วมทางได้ตลอดทุกทริป โดยไม่ต้องกังวลด้านการจัดสรรรพลังงาน

สุดท้าย เมื่อลองเทียบกับหูฟัง True Wireless ตัวจี๊ดยอดนิยมอย่าง Airpod หรือ Galaxy Buds ที่ราคาต่ำกว่า แต่อาจจะไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง เพราะฟีเจอร์ของ Sony WF-1000XM3 นั้นเหนือกว่ามาก แต่เมื่อเทียบกับหูฟัง True Wireless ในระดับราคาเดียวกันแล้ว Sony WF-1000XM3 ถือว่ามีภาษีดีกว่าพอสมควร และต้องบอกเลยว่าเป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ สำหรับคนที่มองหาหูฟังคุณภาพเสียงดี มีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวนเด่น อัดแน่นด้วยฟีเจอร์และสเปคจัดเต็ม ในงบประมาณที่สมเหตุสมผล  ฟันธงเลยว่า Sony WF-1000XM3 ตอบโจทย์อย่างแน่นอนครับ

 

หูฟัง Sony WF-1000XM3 วางจำหน่ายแล้วในราคา 8,990 บาท มี 2 สีให้เลือกใช้งาน Black & Silver

สำหรับผู้ที่สนใจหูฟัง  Sony WF-1000XM3 สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ที่ ช้อปโซนี่ทุกสาขา, โซนี่ สโตร์ ออนไลน์ และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

Facebook Comments

Related Posts