Review: รีวิว OPPO F9 Jade Green สีเขียวหยก เรียบหรูพรีเมี่ยมน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม !!

OPPO F9 เป็นสมาร์ทโฟนในซีรีส์ F ที่ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย ทั้งในแง่ยอดขายและความชื่นชมของผู้ใช้งานในบ้านเรา ที่ต่างก็เทให้หมดทั้งใจกับ OPPO F9 สมาร์ทโฟน Mid-range สุดคุ้มของปี 2018 และด้วยความที่กระแสยังแรงดีไม่มีตก OPPO จึงได้ส่ง F9 สีใหม่ Jade Green ออกมาตอกย้ำความเป็นผู้นำตัวจริงอีกครั้ง ทั้งในแง่ของดีไซน์สุดพรีเมี่ยม รวมถึงความโดดเด่นด้านการถ่ายเซลฟี่ที่ไม่เคยเป็นสองรองใคร และขอบอกเลยว่าสีใหม่ Jade Green นั้นงามหยดย้อยไม่แพ้ “ลวดลายกลีบดอกไม้บนสี Twilight Blue” เลยครับ

 

สเปคเบื้องต้นของ OPPO F9

● หน้าจอ LTPS IPS ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD+ (2340 x 1080 พิกเซล) อัตราส่วน 19.5:9
● ซีพียู MediaTek Helio P60 Octa-core ความเร็ว 2.0GHz
● จีพียู Mali-G72 MP3
● แรม 6GB
● ความจุ 64GB
● กล้องหลังคู่ 16 + 2 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/1.8
● กล้องหน้า  25 ล้านพิกเซล ค่ารูรับแสง f/2.0
● แบตเตอรี่ 3500mAh รองรับเทคโนโลยีชาร์จไว (VOOC Flash Charge)
● ระบบปฏิบัติการ ColorOS 5.2 บนพื้นฐานของ Android 8.1 (Oreo)
● การเชื่อมต่อ
Frequencies :
GSM: 850/900/1800/1900MHz
WCDMA: 850/900/2100MHz
FDD-LTE: Bands 1/3/5/8
TD-LTE: Bands 38/40/41(2535-2655MHz)

● SIM Card Type:  Nano ซิม 2 ช่อง + MicroSD 1 ช่อง
● GPS A-GPS, GLONASS, BDS
● Bluetooth 4.2, A2DP, LE
● Wi-Fi : 2.4/5GHz 802.11 a/b/g/n/ac
● OTG Supported
● ขนาดตัวเครื่อง 156.7 × 74 × 7.99 มม.
● น้ำหนัก 169 กรัม
● สี Sunrise Red, Twilight Blue, Starry Purple, Jade Green
● ราคาเปิดตัว 10,990 บาท

 

Packaging & Accessories

สำหรับตัวกล่องแพ็คเกจยังคงใช้รูปแบบเดิม แต่จะมีการพิมพ์กำกับสี Jade Green ไว้ที่ด้านหลังของตัวกล่อง

 

สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่องที่ให้มาจะประกอบไปด้วย

1. คู่มือการใช้งานฉบับย่อ +ใบรับประกันสินค้า

2. เข็มจิ้มเปิดถามซิมการ์ด

3. เคสซิลิโคนแบบใส

4. ชุดหูฟังสมอลทอล์ค

5. สาย Micro USB + อแดปเตอร์ชารจ์ ให้ Output มา 2 ระดับที่  5V-2A / 5V-4A  และรองรับเทคโนโลยีชาร์จไว VOOC Flash Charge โดยใช้เวลาชาร์จเพียง 5 นาที สามารถคุยสายได้นานถึง 2 ชั่วโมง ( VOOC Flash Charge ต้องใช้อแดปเตอร์และสาย USB ที่ให้มาในกล่องเท่านั้น)

 

Design & Hardware

สำหรับ OPPO F9 Jade Green ในภาพรวมยังคงมาพร้อมดีไซน์เดิม ๆ ทั้งหน้าจอแสดงผลที่มีรอยบากทรงหยดน้ำ (Waterdrop Screen) แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในสี Jade Green ก็คือการไล่โทนเฉดสี สุดพรีเมี่ยมของสีขาวมุกและสีเขียวหยก พร้อมตัดด้วยขอบสีทองรอบตัวเครื่อง ที่ช่วยส่งผลให้มีความรู้สึกเรียบหรูพรีเมี่ยมน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

OPPO F9 Jade Green เปิดตัวมาได้ถูกจังหวะ โดยพร้อมต้อนรับเทศกาลวันตรุษจีนที่กำลังจะถึงในเร็ว ๆ นี้นั่นเอง  เพราะในคติความเชื่อของชาวจีน นั้นเชื่อว่า “หยก” เป็นอัญมณีสำคัญ และชาวจีนใช้เป็นเครื่องประดับพกติดตัว ด้วยเชื่อว่าหยกเป็นอัญมณีศักดิ์สิทธิ์ ที่ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ความโชคดี และทำให้ผู้ที่สวมใส่มีอายุยืนยาว 

OPPO F9 Jade Green จึงถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมสีมงคล พร้อมส่งเสริมโชค ลาภ ตามคติความเชื่อของชาวจีนนั่นเองครับ

 

นอกจากการไล่โทนเฉดสีขาวมุกและสีเขียวหยกได้อย่างกลมกลืนลงตัวแล้ว ในชั้นเลเยอร์ของตัวฝาหลังยังมีความพราวแพรว ดุจแสงดาว ยามเมื่อที่สะท้อนแสงแดด หรือแสงไฟนีออน โดยให้ฟิลลิ่งที่โดดเด่นเหนือคู่แข่งในระดับเดียวกัน  ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า OPPO F9 Jade Green นั้นสวยสะกดทุกสายตาจริง ๆ เลยครับ

 

สำหรับรอบ ๆ ตัวเครื่อง OPPO F9 Jade Green เลือกใช้โทนสีทอง เพื่อให้เข้ากับโทนสีขาวมุกและสีเขียวหยกของตัวฝาหลังนั่นเอง และในภาพรวมถือว่าเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

ด้านบนของตัวเครื่องจะมีเป็นไมค์ที่ใช้ในการตัดเสียงรบกวน และใช้ในการบันทึกเสียงอีกทางหนึ่งด้วย

ด้านล่างการจัดวางเลย์เอาท์ ด้วยลำโพงสนทนา, พอร์ต Micro USB, ไมค์สนสนาและช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.

ด้านของคุณภาพเสียงลำโพงของ OPPO F9 ขอบอกว่าน่าประทับใจมาก ๆ ครับ แม้จะเป็นลำโพงแบบโมโนแต่ก็ให้คุณภาพที่ดีเกินคาด ทั้งในด้านความดังและความใสเคลียร์  และเมื่อเปิดเร่งระดับเสียงจนสุด เสียงที่ออกมาก็ไม่แตกพร้าอีกด้วย

ด้านฝั่งซ้ายของตัวเครื่อง จะประกอบไปด้วย

  1. ช่องถาดซิม+การ์ด MicroSD
  2. และปุ่มเพิ่ม/ลดระดับเสียง

 

สำหรับปุ่มพาวเวอร์จะอยู่ที่ฝั่งขวามือของตัวเครื่อง กางวางเลย์เอาท์กำลังดีครับ คือไม่อยูาสูงหรือต่ำจนเกินไป จึงทำให้รองรับการใช้งานมือเดียวได้แบบสบาย ๆ

 

อีกสิ่งที่น่าประทับใจ ก็คือ OPPO F9 ให้ช่องถาดซิมมาแบบ Triple slot  ทำให้สามารถใช้งาน 2 ซิมการ์ดไปพร้อม ๆ กับการใส่หน่วยความจำภายนอก MicroSD Card ได้พร้อมๆ  กัน ซึ่งเป็นข้อดีเหนือว่าถาดแบบไฮบริดที่มักนิยมใช้กันในสมาร์ทโฟนในปัจจุบัน

Software & Feature

OPPO F9 เปิดตัวมาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 8.1 พร้อมครอบทับด้วย ColorOS 5.2 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ตัวเฟิร์มแวร์ปรับแต่งมาค่อนข้างดีมาก ยังไม่พบอาการหน่วง ค้างหรือบั๊คร้ายแรงแรงแต่อย่างใด ส่วน  User Interface ในภาพรวมไม่ได้ปรับเปลี่ยนมากนัก ทำให้ผู้ใช้ที่เคยสัมผัสกับ UX/UI ของ ColorOS น่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ส่วนผู้ใช้หน้าใหม่ ก็ไม่ต้องปรับตัวมากนัก

 

ไฮไลท์ที่น่าสนใจบน OPPO F9 

OPPO F9  มาพร้อมดีไซน์ที่ยกระดับไปอีกขึ้นด้วย Notch แบบ Waterdrop Screen และด้วยความที่มาพร้อมหน้าจอใหญ่ถึง 6.3 นิ้ว พร้อมออกแบบรอยบากในรูปทรงหยดน้ำ จึงส่งผลให้ OPPO F9 มีพื้นที่จอแสดงผลต่ออัตราส่วนของบอดี้สูงถึง 90.8% เลยทีเดียว อีกทั้งขอบข้างหน้าจอทั้งซ้ายและขวาก็บางเฉียบ มีขนาดเพียง 1.7 มม.เท่านั้น ส่งผลให้การรับชมคอนเทนต์อย่าง Youtube หรือ Netflix ได้เต็มอรรถรสมากยิ่งขึ้น

 

ด้านการจัดสรรพลังงาน OPPO F9 ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยความจุแบตเตอรี่ 3500 mAh พร้อมระบบประหยัดพลังงานในระบบปฏิบัติการ ColorOS และ CPU MediaTek Helio P60 Octa-core ทำให้ในการใช้งานทั่ว ๆ ไปสามารถอยู่รอดได้ทั้งวัน แต่ถ้าหากใช้งานหนัก ๆ ก็ไม่ต้องห่วงครับ เพราะ OPPO F9 มาพร้อมเทคโนโลยีชาร์จไว  VOOC Flash Charge ที่ชาร์จเพียง 5 นาที ก็สามารถคุยสายได้นานถึง 2 ชั่วโมง

 

สำหรับเทคโนโลยี VOOC Flash Charge จะชาร์จด้วยแรงดันไฟฟ้าต่ำแต่รองรับกำลังไฟฟ้าสูงซึ่งพัฒนาเฉพาะ OPPO ซึ่งเร็วกว่าการชาร์จปกติถึง 4 เท่า ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็หายห่วงด้วยระบบป้องกันถึง 5 ขั้น เริ่มตั้งแต่ตัวอแดปเตอร์ไปจนถึงช่องเสียบชาร์จและภายในตัวเครื่อง

รวมไปถึง USB ที่มีการใช้สาย Pin แบบ 7 เส้น จากที่ปกติระบบชาร์จเร็วทั่วไปจะใช้จุดเชื่อมต่อพิเศษ 5 เส้น Pin ของ USB  สำหรับเทคโนโลยี VOOC ใช้ 7 จุดเชื่อมต่อพิเศษ 7 เส้น Pin ของ USB จึงสามารถป้องกันแรงดันไฟฟ้าและความร้อนที่มากเกินไปได้ด้วยการชาร์จผ่านเส้น Pin ที่มีจำนวนมากขึ้น

และแน่นอนว่าส่งผลดีต่อคอเกมอีกด้วย เพราะสามารถชาร์จไปในขณะเล่นเกมได้เลยไม่ต้องห่วงเรื่องเครื่องร้อน เพราะ VOOC Flash Charge เพิ่มชิปอัจฉริยะ MCU เพื่อป้องกันการใช้ไฟเกินกำลัง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องร้อนขณะเล่นเกมแต่อย่างใด

 

รองรับฟีเจอร์ยอดนิยมของสมาร์ทโฟนในยุคนี้ ด้วยการแบ่งหน้าต่าง เพื่อใช้งาน 2 แอปพลิเคชั่นไปพร้อม ๆ กัน  แถมบน OPPO F9 ยังสามารถเรียกใช้งานการแบ่งหน้าจอได้ง่าย ๆ เพียงลาก 3 นิ้วจากด้านล่างขึ้นไปยังด้านบน ก็พร้อมใช้งาน 2 แอปฯ ในหนึ่งหน้าจอได้ในทันที

และอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ขาดไม่ได้ก็คือแอพโคลน ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่นโซเชียลยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็น Line, Facebook หรือ Instagram ได้พร้อม ๆ กัน ถึง 2 แอคเคานท์ในเครื่องเดียว

 

ฟีเจอร์ “Full Screen Multitasking” ใน OPPO F 9 มีการปรับ UI ให้สวยงามดูมีมิติมากขึ้น

เมื่อใช้งานแอปพลิเคชั่นในโหมดแนวนอน เราสามารถเรียกใช้งานฟีเจอร์ Full Screen Multitasking ได้ด้วยการลากจากขอบด้านลำโพงสนทนาลงมา สำหรับฟีเจอร์นี้จะเป็นการรวบรวมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ไว้ในทีเดียวเพื่อให้สามารถเรียกใช้งานอย่างอย่างสะดวกรวดเร็ว

เช่นทางลัดโปรแกรม การบันทึกหน้าจอทั้งแบบวีดีโอและภาพนิ่ง การปิดแจ้งเตือน Notification เป็นต้น ซึ่งทำให้เราสามารถทำงานได้พร้อม ๆ กันในเวลาเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมหรือดูวีดีโอพร้อมกับตอบแชทไปด้วย ทำให้ไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญ ๆ

 

ระบบรักษาความปลอดภัยบน OPPO F9 มีให้ใช้งาน 2 รูป ทั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และปลดล็อคด้วยใบหน้า ซึ่งนอกจากการปลดล็อดจอแสดงผลแล้ว ยังสามารถใช้ในการปลดล็อคแอปฯ และพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนตัวได้อีกด้วย

สำหรับในด้านการใช้งานจริง ตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมีมีความรวดเร็วแม่นยำที่ดีมาก ส่วนระบบปลดล็อคด้วยใบหน้าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าประทับใจช่นกัน โดยลองทดสอบปลดล็อคในที่แสงน้อย หรือส่วมใส่แว่นตาก็ยังปลดล็อคได้โดยไม่พบเจอปัญหาแต่อย่างใด

 

ฟีเจอร์ Full Screen gesture สั่งการได้ง่าย ๆ และสามารถใช้งานจอแสดงผลได้แบบเต็ม 100%

สำหรับ Navigation gestures เป็นฟีเจอร์ที่ใช้การสไลด์นิ้บนหน้าจอแสดงผลแทนการกดปุ่ม navigation เพื่อให้เหลือพื้นที่การใช้งานที่มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งนี้ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะใช้รูปแบบการสั่งการแบบไหน เช่นการปัดนิ้วขึ้น หรือปัดไปด้านข้างเป็นต้น

 

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจก็คือ ฟีเจอร์ด้าน Network และการโทรของ OPPO F9 ทีมีความโดดเด่นด้วยการรองรับเทคโนโลยี Full Netcom 4.0 ทำให้สามารถสามารถจับสัญญาณ 4G/3G ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม

รวมไปถึงยังรองรับ Dual VoLTE  ซึ่งฟีเจอร์ในด้านการโทรที่ให้มาก็ถือว่าครบถ้วนและมีประโยชน์ในการใช้งานจริงของชีวิตประจำวัน เช่นฟีเจอร์บล็อคสาย บล็อคข้อความ โดยเราสามารถเลือกสร้าง Blacklist และ Whitelist ได้ตามที่ต้องการ อีกทั้งยังสามารถบันทึกสายขณะโทรได้โดยตรง ไม่ต้องลงแอปฯเพิ่มเติมแต่อย่างใด

 

Gesture & Motion เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ผู้ใช้งานโดยทั่วไป คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะฟีเจอร์ลักษณะนี้มักจะมีมาให้ใช้งานในสมาร์ทโฟนหลาย ๆ แบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเรา ซึ่งหลักการทำงานจะไม่แตกต่างกัน กล่าวคือใช้การเคาะ, การวาดบนหน้าจอ, รวมไปถึงทำงานร่วมกับตัวเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ของตัวเครื่องเป็นต้น

 

ไม่ได้โดดเด่นแค่กล้อง แต่แอปฯ อัลบั้มของ OPPO F9 ก็มาพร้อมความฉลาดล้ำด้วย AI ด้วยเช่น โดยสมารถระบุประเภทภาพถ่ายให้โดยอัตโนมัติ โดยแยกเป็น 3 หมวดหมู่หลัก ได้แก่ รูปภาพทั้งหมด, ความทรงจำ, และอัลบั้ม เพื่อการค้นหาในภายหลังได้อย่างสะดวกง่ายขึ้น

 

สำหรับคนที่ชอบถ่ายวีดีโอก็ไม่ควรพลาดกับฟีเจอร์ ตัดแต่งวีดรโอภายในแอปฯ โดย OPPO F9 มาพร้อมเครื่องมือตัดต่อวีดีโอที่อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์อันน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการเร่งความเร็วหรือปรับให้ช้า, สามารถใส่เสียง, เอฟเฟ็กต์พิเศษ, ข้อความ, ลายน้ำ, หรือธีมสวย ๆ เพื่อสร้างสรรค์วีดีโอของเราให้สนุกและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

 

Benchmarks & Performance

ในภาพรวมคงต้องบอกว่า แม้จะไม่ได้ใช้ชิปเซ็ตตัวท็อป แต่ด้วยขุมพลัง MediaTek Helio P60 Octa-core ความเร็ว 2.0GHz นั้นก็ถือว่าแรงในระดับใช้งานทั่ว ๆ ไปได้เหลือเฟือ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมหรือรับชมคอนเทนต์ความละเอียดสูง ๆ OPPO F9 ก็สามารถแสดงศักยภาพพร้อมตอบสนองในการใช้งานได้อย่างราบลื่น โดยไม่พบอาการสะดุดติดขัดให้หงุดหงิดใจแต่อย่างใด

สำหรับผลคะแนน Benchmarks ถือว่าเป็นรุ่นกลาง ๆ ที่มาพร้อมความแรงในระดับที่นำไปใช้งานทั่วไปได้แบบสบาย ๆ พวกเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก็ให้มาอย่างครบถ้วน รวมไปถึงการที่มาพร้อม RAM ถึง 6GB ก็ช่วยในด้านการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ส่วน GPS ในภาครับสัญญาณดาวเทียมนั้นมีความรวดเร็วแม่นยำในระดับที่ค่อนข้างดีเลยครับ

 

Multimedia & Entertain

แอปฯ  VDO Player บน OPPO F9 รองรับการเล่นไฟล์วีดีโอความละเอียดสูง ๆ อย่าง  4K ได้ค่อนข้างไหลลื่น  แถมยังมีฟีเจอร์ที่ให้ฟิลลิ่งใกล้เคียงกับแอปชื่อดังอย่าง MX Player เช่นการปัดบนหน้าจอฝั่งซ้ายเพื่อปรับระดับความสว่าง และปัดบนหน้าจอฝั่งขวาเพื่อปรับเพิ่ม/ลดระดับเสียงเป็นต้น

 

แอปฯ Music Player อาจจะไม่แตกต่างจาก แอปมิวสิคเพลย์เยอร์แบบเบสิคทั่ว ๆ ไป แต่ก็มีจุดเด่ดที่ระบบเสียง Real HD Sound ที่ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่ง Equalizer ได้อย่างยืดหยุน ทั้งรูปแบบสำเร็จรูป และการปรับแต่งในแบบแมนวน

ในด้านคุณภานเสียงนั้นหายห่วงครับ เพราะค่าย OPPO เองก็มีจุดเด่นและพัฒนาคุณภาพเสียงบนสมาร์ทโฟนมาอย่างยาวนาน จึงการันตีในแง่คุณภาพได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ OPPO F9 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Music inter-connects ที่สามารถเปิดเพลงแชร์ไปกับเพื่อนพร้อม ๆ กันได้ เพียงแค่เชื่อมต่อ OPPO F9 กับมือถืออีกเครื่องเข้ากับ Wi-Fi ในวงเดียวกัน ทำให้ช่วยเพิ่มบรรยากาศความสนุกสนานยิ่งขึ้น ด้วยคุณสมบัติที่เหมือนดั่งมีลำโพงอยู่รอบ ๆ กายนั่นเอง

 

สมาร์ทโฟนยุคนี้ส่วนใหญ่จะตัดวิทยุ FM ออกไป  แต่บน OPPO F9 ยังมีวิทยุ FM มาให้ฟังกันเพลิน ๆ โดยมาพร้อมภาครับวิทยุแบบทศนิยมสองตำแหน่ง ในด้านภาครับสัญญาณมีความคมชัดที่ค่อนข้างดี แต่น่าเสียดายที่ให้ฟีเจอร์มาน้อยไปหน่อย ซึ่งในภาพรวมก็จะเน้นไปด้านการใช้งานเพื่อการฟังเป็นหลัก โดยไม่มีฟีเจอร์การบันทึกไว้ฟังแบบออฟไลน์ครับ

 

Game Space “การเร่งความเร็วเกม” ที่ช่วย optimization ให้เล่นเกมได้ไหลลื่นมากยิ่งขึ้น และยังมีฟังก์ชั่น ที่ช่วยจัดการด้านการแจ้งเตือน เช่นการปฏิเสทสาย หรือการรับสายผ่านทางแฮนด์ฟรีได้เป็นต้น ทำให้การเล่นเกมบน OPPO F9 นั้นเป็นไปอย่างสมูทลื่นไหล

 

ลองทดสอบเกมฮิต ๆ ในช่วงนี้ดูบ้าง

Asphalt 9 มาพร้อมกราฟฟิกสวยงาม แน่นอนว่าต้องการทรัพยากรทางด้าน Hardware ที่แรงอยู่ไม่น้อย ซึ่ง OPPO F9 นั้นเล่นเกมนี้ได้ลื่นไหลใช้ได้เลยครับ และไม่พบเจอการสะดุดหรือหน่วงจนผิดปรกติแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งต้องยกความดีที่ให้ RAM มาถึง 6GB และตัว Software Game Space ที่ช่วยให้การเล่นเกมลื่นไหลยิ่งขึ้น

 

สำหรับ PUBG  แม้จะไม่สามารถเลือกเล่นในระดับความละเอียดสูงสุดได้ก็ตาม แต่การที่ให้แรมมาถึง 6GB ก็ช่วงส่งผลให้ภาพรวมการเล่นเกมบน OPPO F9 ค่อนข้างลื่นไหลดี ไม่มีอาการหน่วงสะดุดติดขัดให้หัวร้อนแต่อย่างใด ส่วน ROV สามารถเล่นที่เฟรมเรทสูง ๆ และลากที่ 60 FPS ได้แบบสบาย ๆ เลยครับ

 

Camera & Sample

OPPO F9 ถือว่าเป็นครั้งแรกของทางค่าย OPPO ที่เปิดตัวมาพร้อมกล้องหลังคู่บนสมาร์ทโฟนซีรีส์ F โดย OPPO F9 มาพร้อมกล้องหลัง AI ความละเอียด 16+2 ล้านพิกเซล พร้อมกับระบบกันสั่น EIS (Electronic image stabilization) สามารถถ่ายภาพเบลอพื้นหลังสไตล์ Bokeh ได้เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น

และยังมาพร้อมกับ “AI scene recognition” ที่สามารถวิเคราะห์พร้อมระบุภาพถ่ายได้มากถึง 16 ซีน ที่สามารถปรับแต่งภาพถ่ายให้สมบูรณ์ที่สุดไม่ว่าจะภาพอะไรก็ตาม โดยกล้องหลังของ OPPO F9 ยังสามารถแบ่งแยกประเภทภาพถ่ายเพื่อปรับแต่งภาพถึง 16 Tags ทั้งอาหาร, ภาพวิว, สัตว์เลี้ยง ฯลฯ โดยเมื่อเรายกกล้องไปยังวัตถุ หรือซับเจคที่อยู่หลังกล้อง ก็จะมีไอคอนแสดงประเภทหรือลักษณะของรูปแบบนั้น ๆ ขึ้นมาทางด้านซ้ายมือบนตามประเภทซีนที่เรากำลังจะถ่าย

กล้องหน้ามาพร้อมความละเอียดถึง 25 ล้านพิกเซล พร้อมเซนเซอร์ HDR เพื่อถ่ายการถ่ายภาพเซลฟี่ที่สมบูรณ์แบบ และชูจุดขายด้วยเทคโนโลยี AI Beauty 2.1 ซึ่งมาพร้อมกับตัวเลือกการปรับแต่งภาพที่หลากหลาย สามารถตรวจจับใบหน้าได้ถึง 296 จุดเพื่อช่วยปรับแต่งใบหน้าได้อย่างอัตโนมัติและเป็นธรรมชาติ

ไม่เพียงเท่านี้ สำหรับโหมด AI Beauty ใน OPPO F9 ยังช่วยปรับแต่งคอและแขน ให้ออกมาสวยสมบูรณ์แบบในสไตล์คุณอย่างไร้ที่ติอีกด้วย ด้วยเทคโนโลยี AI สมาร์ทโฟน OPPO F9 สามารถวิเคราะห์โครงหน้าได้หลากหลายมิติเพื่อการถ่ายภาพเซลฟี่ โดยสามารถวิเคราะห์ได้ทั้ง เพศ, อายุ, สีผิว, และผิวพรรณ

ดังนั้นตามทฤษฎีจึงสามารถกล่าวได้ว่าโหมด AI Beauty นี้รองรับโครงหน้าเพื่อการปรับแต่งมากถึง 800 ล้านแบบสำหรับใบหน้าทุกเชื้อชาติทั่วโลก นอกจากนี้ AI Beauty ยังสามารถปรับแต่งใบหน้าในภาพเซลฟี่กลุ่ม ได้มากสูงสุดถึง 4 คนใน 1 เฟรม

 

ฟีเจอร์ Artistic Portrait Mode เพื่อการปรับแต่งแสงเทคนิคแบบ 3D และสไตล์ Bokeh เบลอพื้นหลังที่เป็นธรรมชาติ พร้อมฟีเจอร์การใช้เทคนิคแสง 3D lighting สำหรับการถ่ายภาพบุคคล โดยใช้อัลกอริทึมในการประมวลผลใบหน้าและแสงไฟเพื่อให้ภาพถ่ายบุคคลออกมาสมบูรณ์แบบเหมือนอยู่ในสตูดิโอ โดยแสงทั้งหมดมีด้วยกัน 5 แบบ ได้แก่ Natural light, Rim light, Tone light, Film light, Bi-color light

 

ภาคทดสอบใช้งานจริง เปรียบเทียบในโหมด Auto เปิด AI และปิด AI

โหมด Auto

ทดสอบกล้องหน้าในโหมด Auto โดยยังไม่เปิดใช้งาน AI Beauty ภาพที่ได้ให้ความคมชัดที่ดี และสกินโทนก็ก็ดูเป็นธรรมชาติ สาว ๆ ที่หน้าใสอยู่แล้ว ไม่เปิดบิวตี้ ก็ให้ภาพที่น่าพึงพอใจในระดับหนึ่ง

เปิดใช้งาน AI

เมื่อลองเปิดใช้งาน AI Beauty ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในแง่การเกลี่ยสภาพสีผิวและความใสกระจ่างของใบหน้า ทำให้ในภาพรวม ๆ มีความโดดเด่นเพิ่มขึ้นมาแบบสัมผัสได้

 

Super Vivid Mode

ฟีเจอร์ใหม่ที่มาพร้อม OPPO F9 ก็คือโหมด Super Vivid Mode (เปิดใช้งานที่ไอคอนตรงลูกศรชี้) ที่เป็นการปรับแต่งแต่งภาพถ่ายของเรา ด้วยการเติมแสงไฟและสีสันให้ภาพดูมีชีวิตชีวาและมีความสดใสมากขึ้น โดยโหมด Super Vivid Mode สามารถแยกเฉดสีได้ชัดเจนระหว่างตัวบุคคลและพื้นหลัง โดยนอกจากจะสามารถใช้ในโหมดภาพนิ่งแล้ว ยังรองรับการใช้งานในโหมดบันทึกวิดีโอได้อีกด้วย

 

HDR Mode

อีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นของกล้องหน้า OPPO F9 ก็คือมาพร้อมเซนเซอร์ HDR  ที่ได้รับการเปิดใช้อย่าง real-time ทำให้ภาพเซลฟี่มีรายละเอียดครบถ้วนเหมือนที่ตาเห็น

ในโหมด HDR จะช่วยในเรื่องของการปรับแต่งภาพที่มีความเปรียบต่างของแสงมาก ๆ โดยภาพซ้ายจะเป็นการถ่ายย้อนแสงจะเห็นว่าฉากหลังจะสว่างจ้าและขาดรายละเอียดของตัววัตถุที่อยู่ด้านหลัง เมื่อเราเปิดโหมด HDR ก็จะทำให้เราสามารถดึงดีเทลโดยรวมของรูปภาพกลับมา ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า หรือฉากหลังของภาพ โดยที่ภาพของตัวบุคคลยังให้คุณภาพที่ดีเหมือนเช่นเคย

 

AR Sticker ใน OPPO F9 มาพร้อมกับ AR Sticker รูปแบบใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น ทั้งในรูปแบบวิดีโอและรูปภาพ รวมถึงใส่เพลงคลอไปได้อีกด้วย อีกทั้งยังสามารถรองรับการถ่าย AR Sticker ได้สูงสุดพร้อมกันได้ถึง 4 บุคคล เรียกได้ว่าจัดเต็มพร้อมตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบถ่ายรูปและแชร์อย่างมีสไตล์ได้เป็นอย่างดี

 

ทดสอบโหมด Portrait Mode  

Portrait Mode ของกล้องหลังบน OPPO F9  มาพร้อมความฉลาดล้ำด้วย AI โดยสามารถเบลอฉากหลังได้เป็นธรรมชาติ พร้อมเก็บรายละเอียดของขอบต่าง ๆ ทั้งตัวบุคคลรวมไปถึงดีเทลเล็ก ๆ อย่างเช่นเส้นผมได้ค่อนข้างเนียนตาดีมากครับ

กล้องหลังของ OPPO F9 นอกจากการละลายฉากหลังได้ดูเป็นธรรมชาติแล้ว ในส่วนของ Bokeh ก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ซึ่งจากรูปตัวอย่างที่เราได้ชมกันในครั้งนี้ ภาพที่ได้ให้ฟิลลิ่งของโบเก้อันนุ่มนวนในสไตล์ที่ไม่แพ้กล้องจริง ๆ เลยครับ

นอกจากนี้ยังมีโหมด Portrait Mode ในแนวนอนมาให้ใช้งานกันด้วย โดยแตะที่ไอค่อนรูปฟิลม์ภาพยนต์ตรงมุมซ้ายบนของจอแสดงผล ซึ่งโหมดนี้จะให้อารมณ์เหมือนการถ่ายภาพยนต์ โดยจะทำการซูมภาพของตัวแบบเข้ามาเพื่อให้เกิดการละลายฉากหลังได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

 

 

Artistic portrait mode

ฟีเจอร์ Artistic portrait mode มีหลักการทำงานด้วยเทคนิคการเติมแสงแบบ 3D lighting สำหรับการถ่ายภาพบุคคล โดยใช้อัลกอริทึมในการประมวลผลใบหน้าและแสงไฟเพื่อให้ภาพถ่ายบุคคลออกมาสมบูรณ์แบบเหมือนอยู่ในสตูดิโอ โดยมีแสงทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ Natural light, Rim light, Tone light, Film light, Bi-color light

โหมด Portrait + Natural light (แสงธรรมชาติ)

 

Rim light (แสงแบบภาพยนต์)

 

Tone light (แสงสีเดียว)

 

Film light (แสงเค้าโครง)

 

Bi-color light (แสงแบบสองสี)

 

จากนี้ไปดูภาพรวม ๆ จากกล้องหลังของ OPPO F9 กันต่อได้เลยครับ

สรุปกล้อง OPPO F9 เรื่องกล้องหน้า OPPO ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆ เลยครับ สมกับเป็นเบอร์หนึ่งของวงการ ซึ่งกล้องหน้าของ OPPO F9 รอบนี้จัดเต็มด้วยความฉลาดล้ำจาก AI หรือปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งยังมาพร้อมกับลูกเล่นใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การถ่ายเซลฟี่สนุกและได้ผลลัพธ์ดีกว่าที่เคย ส่วนกล้องหลังก็ทำผลงานได้ดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นในสภาพแสงปรกติหรือในที่แสงน้อย โดยเฉพาะเรื่องไวท์บาลานซ์นั้นน่าประทับใจมาก รวมไปถึง Portrait Mode ของกล้องหลัง ที่ฉลาดล้ำด้วย AI โดยสามารถเบลอฉากหลังได้เป็นธรรมชาติ พร้อมเก็บรายละเอียดของขอบต่าง ๆ ทั้งตัวบุคคลรวมไปถึงดีเทลเล็ก ๆ อย่างเช่นเส้นผมได้ค่อนข้างเนียนตาดีมากครับ

 

สรุป OPPO F9 Jade Green

ข้อดี

1. มาพร้อมสีใหม่ ไล่โทนเฉดสีสุดพรีเมี่ยมของสีขาวมุกและสีเขียวหยก

2. ดีไซน์สุดล้ำ ด้วยหน้าจอรอยบากรูปหยดน้ำ จอแสดงผลแบบไร้ขอบ ใหญ่เต็มตา มีพื้นที่จอแสดงผลต่ออัตราส่วนของบอดี้สูงถึง 90.8%

3. เป็นสมาร์ทโฟน Mid-range แต่สเปคให้มาแบบครบ ๆ

4.ระบบปลดล็อคด้วยใบหน้ารวดเร็วแม่นยำ แม้ในที่แสงน้อย

5. กล้องหน้ามาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และยังให้คุณภาพที่ดีเหมือนเคย ส่วนกล้องหลังขับเคลื่อนด้วย AI Scene Recognition ให้ภาพคมชัด สมจริง และ AI Portrait Mode ละลายฉากหลังได้เป็นธรรมชาติ

6. การจัดสรรพลังงานทำได้ค่อนข้างดี การใช้งานทั่ว ๆ ไป สามารถใช้งานได้ครบวัน และยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จไว (VOOC Flash Charge) ที่ชาร์จเพียง 5 นาที สามารถคุยสายได้นานถึง 2 ชั่วโมง

7. การเชื่อมต่อด้าน Network ให้มาอย่างครบถ้วน รวมไปถึงรองรับ Full Netcom 4.0 และ Dual VoLTE

8. ถาดซิมแบบTriple slot  ทำให้สามารถใช้งาน 2 ซิมการ์ดไปพร้อม ๆ กับการใส่หน่วยความจำภายนอก MicroSD Card

 

สิ่งที่ต้องพิจารณา

  1. ไม่มี NFC

 

สำหรับ OPPO F9 Jade Green เริ่มวางจำหน่ายแล้วในราคา 10,990 บาท

สามารถเข้าไปสัมผัสและจับจองเป็นเจ้าของ OPPO F9 สีใหม่ Jade Green ได้ที่ OPPO Brand Shop และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ.

J.wasan
J.wasan

Founder and Web Editor นักเขียน บทความ & รีวิว สนใจด้าน IT และ ไลฟ์สไตล์